12 December 2011

การลอบสังหารคอลีฟะห์อุษมานอิบนิอัฟฟาน



โดยอาจารย์ รอฟลี แวหะมะ
อาจารย์ประจำคณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี
ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อิสลาม


อลีฟะฮ์อุษมานรู้สึกว่าสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนั้นได้เกิดความระส่ำระสายขึ้นแล้ว และเพื่อระงับเรื่องนี้ ในฤดูฮัจญ์ (ฮ.ศ. 34) ท่านได้เชิญชวนผู้ครองแคว้นต่างๆ เข้าปรึกษาหารือ ผู้ครองแคว้นคนหนึ่งต้องการให้คอลีฟะฮ์ใช้วิธีการที่รุนแรงในการปราบปราม แต่คอลีฟะฮ์ไม่ต้องการ เกรงว่าจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงยิ่งไปกว่านี้ มุอาวียะฮฺผู้กุมอำนาจสูงสุด ในดินแดนที่ยึดมาได้อย่างกว้างขวางนั้นยินดีที่จะส่งกองทัพที่เข้มแข็งจากซีเรียไปปราบแต่คอลีฟะฮ์ก็ปฏิเสธ ด้วยการให้เหตุผลว่า ท่านไม่ต้องการสร้างความลำบากใจแก่ชาวเมืองมะดีนะฮฺ หรือต้องทำให้ มักกะฮฺต้องเปื้อนเลือด (หากเกิดการสู้รบขึ้น) ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานส่งคณะฑูต 4 ท่าน ไปยังดินแดนต่างๆ ของฝ่ายกบฏเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริง บุคคลทั้งสามได้แจ้งแก่ท่านว่าเหตุการณ์ทั้งหลายอยู่ในภาวะปกติแก่ทูตที่ส่งไปยังอียิปต์ แต่อัมมาร์บุตรยาซิรฺไม่เดินทางกลับมา อาจเป็นไปได้ว่าเขาได้รับการจูงใจหรือคล้อยตามพวกกบฏเหล่านั้น

ความเคลื่อนไหวจากฝ่ายกบฎ ไม่อาจระงับยับยั้งได้อีกแล้ว แม้ว่าการกบฏที่เกิดขึ้นนั้น มีความขัดแย้งกับหลักการเบื้องต้นของศาสนาอิสลาม และได้ล่วงเกินมติในที่ประชุมเพื่อทำการเลือกคอลีฟะหฮฺ โดยคณะที่ถูกแต่งตั้งจากคอลีฟะฮ์อุมัร

ในปี ฮ.ศ. 35 กลุ่มกบฎในอียิปต์ กูฟะฮฺ และบัศเราะฮฺได้เคลื่อนพลพร้อมๆ กัน มุ่งสู่มาดีนะฮฺจำนวนรี้พลทั้งสิ้นเกือบ 3000 คน

กองกำลังจากอียิปต์ภายใต้การนำของมุฮำหมัดบุตรอบูบักรฺ (บางข่าวก็กลาวว่าเป็น อัล-ฆอฟิกีอิบนุฮัรบ์) โดยในขณะบุคคลเหล่านั้น ได้มีผู้ติดตามชื่ออับดุลลอฮฺ บุตรซอบารฺอยู่ด้วย

ส่วนกองกำลังจากกุฟะอิ ก็อยู่ภายใต้การนำของซัยต์บุตรเซาฮานอัลอับดิ และกองกำลังจากบัศเราะศฺ ภายใต้การนำของฮุกัยมฺบุตรยะบาละห์อัลอับดิ ผู้ที่มาจากอียิปต์มีความสำพันธ์กับท่านอาลีผู้ที่มาจากกุฟะฮฺมีความสัมพันธ์กับซุบัยร์และผู้ที่มาจากบัศเราะฮฺมีความสัมพันธ์กับฎ็อลฮะฮฺ ในสถานการณ์ที่ต่างกันและไม่ไกลไปจากเมืองมาดีนะฮฺ พวกเขาได้แจ้งความจำนงให้ คอลีฟะฮ์ปลด มัรวาน บุตร อัล-หะกัมออกจากตำแหน่ง และเจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆก็ต้องเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นๆ เช่นกัน พวกเขาต้องการให้เศาะฮาบะฮฺ ที่พวกเขาได้ติดต่อไว้ ขึ้นดำรงตำแหน่งเหล่านั้นแทน (ท่านอาลีในอียิปต์ อัซ-ซุบัยรฺที่กูฟะและฎ็อลฮะฮฺที่บัศเราะฮฺ) เศาะฮาบะฮฺทั้งสามท่านดังกล่าวต่างก็ทราบดีถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น เป็นที่ทราบกันดีว่าด้วยคุณธรรมอันดีงามของพวกเขา ทำใหัท่านคอลีฟะฮ์อุษมานแก้ไขยินยอมทีจะแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมด แต่ความต้องการของฝ่ายกบฏเรื่องสุดท้ายนั้น บรรดาศอฮาบะหฮฺทั้งสามต่างก็ได้ปฏิเสธแม้ว่าพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากบุคคลเหล่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้สถานการณ์ก็คืนกลับสู่ภาวะปรกติ ฝ่ายกบฏก็เดินทางกลับเมืองเดิมของพวกเขา

ในบรรดากบฏเหล่านั้น กลุ่มที่มาจากอียิปต์ ได้รับความสำเร็จมากกว่ากลุ่มอื่น เพราะหัวหน้าของพวกเขามูฮำหมัด บุตรอบูบักร (เมื่อท่านอลีได้ตอบปฎิเสธไปแล้ว) ได้รับการรับรองจากคอลีฟะฮ์เพื่อให้เขาครองอียิปต์แทน อับดุลลอฮฺบินสะอด์ พร้อมกับคณะเหล่านั้น

คอลีฟะฮ์ได้ส่งบุคคลจากฝ่ายมูฮายีรีนและอัรศอร ไปเป็นพยานและเป็นฑูตสันติเจรจาเพือให้เกิดความปรองดองระหว่างกัน (หากจะได้รับการต่อต้านขัดขวางจากเจ้าผู้ครองแคว้นขณะนั้น คือ อับดุลลอบุตรสะด์)

ในระยะนี้คอลีฟะฮ์ก็ยินยอมผ่อนปรน ต่อท่านอาลีและยินยอมจะรับฟังคำแนะนำจากท่าน โดยปฏิเสธที่จะฟังคำแนะนำจากมัรวานอีกต่อไป และคำสำหรับเรื่องนี้ คืนกลับเข้าสู้สัจจะธรรมและความยุติธรรม “เตาบะ”) ได้กระทำขึ้นที่มัสยิดนะบะวีย์ ตามคำร้องขอของท่านอาลีท่ามกลางประชาชนเป็นจำนวนมาก

ในความเป็นจริงนั้นท่านคอลีฟะฮ์อุษมานไม่เคยไม่เคยมีความกินแหนงแครงใจกับท่านอาลีเพราะท่านอาลีเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ มีความบริสุทธิ์ใจอย่างสม่ำเสมอ

ซัยยิดะหฮฺอาอีฉะฮฺและอัมรบุตรอัล-อาศ ก็ได้ประจักษ์ ถึงการเตาบะฮฺ (กลับตัว) ของท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน ต่อพฤติกรรมที่ล่วงมาแล้วข้างต้นความลับถูกเปิดเผย แต่ทว่าในขณะเดินทางกลับระหว่างทางกลับนั้น (ภายในเวลา3วัน)คณะผู้ที่มาจากอียิปต์ได้เผชิญกับบุคคลผู้หนึ่งซึ่งขี่อูฐผ่านไปอย่างรวดเร็วผ่านหน้าพวกเขาไป และอูฐที่เขาขี่เป็นอูฐของคอลีฟะฮ์ กาฬบุตรเป็นผู้ขับอูฐตัวนั้น พวกเขาจึงต่างก็มีความสงสัยว่าน่าจะมีสาส์นของคอลีฟะฮ์ คณะที่มาจากอียิปต์จึงเข้าขัดขวาง และค้นพบสาส์นฉบับหนึ่งแนบซุกอยู่ภายใต้กล่องไม้ไผ่เล็กๆห่อหุ้มด้วยเงินประทับตราของคอลีฟะฮ์ สาส์นฉบับนั้นได้นำส่งไปยังอับดุลลอลบุตรสะด์ เจ้าผู้ครองแคว้นอียิปต์บางส่วนของประโยคต่างๆ ในสาส์นนั้นได้เขียนคำว่า (ยังไม่ได้ใส่จุดและยังไม่มีตัวสระ เป็นอักขระในอัลกุรอานและเป็นภาษาอาหรับในสมัยของท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน) อันเนืองมาจากสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความโกธรแค้น ความเหน็ดเหนื่อย และความสงสัยต่างๆ นานา เพราะการเดินทางในระยะที่ไกลมากนั้นทำให้พวกเขาสื่อความหมายว่า

“เมื่อมูฮัมหมัดบุตรอบูบักรได้มาถึงเขาและได้ถูกฆ่าตายทันที” ไม่ใช่สื่อความถึงการ “ถูกรับรอง” (ซึ่งความจริงแล้วในประการหลังเป็นความหมายอันแท้จริงจากท่านคอลีฟะฮ์อุษมานที่จะให้ผู้ครองแคว้นอียิปต์ขณะทำการรับรองการแต่งตั้งมูฮัมหมัดบุตรอบูบักรเป็นข้าหลวงแทนท่าน) เมื่อคำดังกล่าวมีความหมายที่อาจจะแปลเป็นหลายนัยเช่นนั้น (ตามความเข้าใจในสภาพดังกล่าว)คณะบุคคลที่มาจากอียิปต์ต่างก็กริ้วโกรธต่อท่านคอลีฟะฮ์ที่ปฎิบัติไม่เป็นไปตามวาจาเดิมที่มี่ต่อพวกเขา เพราะเหตุอะไรหรือท่านคอลีฟะฮ์อุษมานจึงได้เปลี่ยนความคิดเช่นนั้นด้วยการตัดสินให้ประหาร เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็คิดว่าท่านคอลีฟะฮ์อุษมานใช้วิธีการอันก้าวร้าวและรุนแรงเกินกว่าเหตุ

ดังนั้น พวกเขาจึงกลับจากมะดีนะฮ์เพื่อต้องการทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ว่า สาส์นฉบับนั้นมาจาผู้ใดกันแน่ ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้ปฎิเสธว่าสาส์นฉบับนั้นตนไม่ได้เป็นผู้เขียน พร้อมกับคำสาบานว่าตนไม่ได้มีความประสงค์เช่นนั้น

ตามหลักภาษาอาหรับ (ซึ่งควรแก่การยอมรับ) จะพบว่าคอลีฟะฮ์เป็นผู้เขียนขึ้นมาเองอย่างตรงไปตรงมา ด้วยการให้ความหมายว่า “เป็นที่รับรอง”ไม่ใช่ความหมายว่า “ต้องฆ่า”(qutila) และคำนี้ ก็ยังเปลี่ยนเป็นความหมายอย่างอื่นได้อีกแต่ย่อมไม่เป็นการสมควรที่เคาะลีฟะฮ์จะยอมรับในสถานการณ์ดังกล่าวเพราะ “ภัยอันตรายจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”พร้อมกันนั้นท่านก็ได้ตระหนักถึงความเข้าใจผิดต่อสาส์นฉบับนั้นได้ดี รวมทั้งความหมายอันแท้จริง ถ้าหากว่าอักษรภาษาอาหรับในตอนนั้น มีเครื่องหมายจุดหรือสระแล้วก็ย่อมจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ อันเป็นสาเหตุให้คอลีฟะฮ์ท่านหนึ่งต้องถูกฆาตกรรม

นักประวัติศาสตร์บางคนก็ได้กล่าวอ้างว่ามัรวานเป็นผู้เขียนขึ้น เพราะเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้เครื่องหมายประทับตราของคอลีฟะฮ์ และเขาอีกเช่นกันที่อยู่กับคอลีฟะฮ์ตลอดเวลา และนักประวัติศาสน์บางคนได้กล่าวว่า ศัตรูของคอลีฟะฮ์เป็นผู้ร่างสาส์นฉบับนั้น อาจจะเป็นอิบนูซอบาอ (เจ้ากาฬบุตร) ก็ได้

บ้านของคอลีฟะฮ์ถูกล้อม

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ คณะที่ก่อการปฏิวัติจึงบังคับให้ท่านอุสมานลาออกจากตำแหน่งและให้มอบมัรวานแก่พวกตน แต่คอลีฟะฮ์ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ เขาได้ลั่นวาจาออกไปว่า “ฉันจะไม่ถอดเสื้อคลุม (คิลาฟัต) ซึ่งอัลลอฮฺได้สวมใสไว้ให้”

ต่อมาบ้านของคอลีฟะฮ์ก็ถูกล้อม ในเวลานั้นเองผู้คนจากบัศเราะฮฺและกูฟะฮฺก็ได้ปรากฏตัวขึ้น การติดต่อได้กระทำกันอย่างรีบด่วน เพราะเวลานั้นเป็นช่วงฤดูฮัจญ์ ฝ่ายคอลีฟะฮ์เองก็ได้ส่งคณะฑูตหลายคณะออกจากเมื่องมะดีนะฮฺเพื่อส่งข่าวไปให้ผู้ปกครองแคว้นต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในระยะแรก (30 วันของการเริ่มต้น) เคาะลีฟะฮ์ ยังได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านของท่านได้เพื่อกระทำหน้าที่เป็นอีหมามในการละหมาดและสามารถใช้น้ำจากบ่อของท่าน บิอ์รุเราะมะฮฺ และยังได้ตักดีรฺ ให้นมาซร่วมกับฝ่ายก่อการกบฏ จากนั้นท่านยังได้ประกาศต่อหน้าพวกเขา และยังปรึกษาหารือกับบรรดาหัวหน้ากบฏเหลานั้นด้วย สำหรับท่านอาลีนั้นมีความยุ่งยากใจเป็นอย่างมาก ท่านทำหน้าที่ประณีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายเพราะบางขณะท่านก็ถูก คอลีฟะฮ์ทอดทิ้ง และบางขณะก็ถูกเรียกตัวมาผ่อนคลายบรรยากาศของการเจรจา

อย่างไรก็ตามวันหนึ่งได้เกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างท่านคอลีฟะฮ์อุษมานกับฝ่ายก่อการกบฏทำให้พวกเขาขว้างก้อนหินไปที่ร่างของท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานสงบแน่นิ่งอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นร่างของท่านก็ถูกนำเข้าไปที่บ้านของท่าน นับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นไปเมืองหลวงคือมาดีนะก็ได้รับการคุกคามและสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลงทุกวัน

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว เคาะลีฟะฮ์ก็ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนอีก บ้านของท่านถูกปิดล้อมรอบด้านและถูกควบคุมอย่างใกล้ชิด บรรดาวัตถุปัจจัยประจำวันคือ น้ำและอาหารถูกห้ามไม่ให้นำเข้าไปในบ้านของคอลีฟะฮ์ (เกิดขึ้นในสิบวันสุดท้าย)

ในระยะนี้ผู้คนส่วนมากต่างก็ได้ขอร้องให้ท่านอาลีทำหน้าที่เป็นอีหมามในมัสยิดอัน-นะบะวีย์ แต่ท่านก็ปฎิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่าคอลีฟะฮ์ ยังอยู่และท่านยังขอร้องให้พวกกบฏเหล่านั้นรีบปล่อยคอลีฟะฮ์เสีย เพื่อทำหน้าที่เป็นอีหม่ามให้แก่พวกเขา สำหรับผู้ที่รักษาความปลอดภัยให้แก่บุคคลในบ้านของคอลีฟะฮ์ให้พ้นจากภัยคุกคามของพวกกบฎ คือท่านอาลี และในเวลาต่อมาท่านก็ได้มอบหน้าที่นี่แก่บุคคลอื่น รวมทั้งอาซันและฮุซัยด์ (บุตรชายของท่าน) อัซซุบัยร์บุตรเอาวาม อับดุลลอบุตรอัยซุบัยร์ อับดุลลอบุตรอุมัร มุฮำหมัดบุตรฏ็อลฮะฮฺ อบูฮุรอยเราะและคนอื่นๆ โดยพวกเขาได้เปลียนหน้าที่รักษาการที่หน้าประตูเข้าออกที่บ้านคอลีฟะฮ์ท่านอาลีผู้ซื่อสัตย์ได้ขออนุญาตคอลีฟะฮ์เพื่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อพวกกบฏแต่ได้รับการคัดค้านจาก คอลีฟะฮ์ ท่านอ้างว่าไม่ต้องการเห็นการนองเลือดระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง

ในเวลาเดียวกันนั้น ข่าวได้ไปถึงซีเรีย มุอาวียะฮฺซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคอลีฟะฮ์ ได้เสนอให้คอลีฟะฮ์ย้ายไปอยู่ซีเรียหรือที่มะกะฮฺ หรือถ้ามีความจำเป็นแล้วท่านจะส่งกำลังไปควบคุมบ้านของคอลีฟะฮ์ แต่ข้อเสนอของมุอาวียะฮฺได้รับการปฏิเสธจากคอลีฟะฮ์ เคาะลีฟะฮ์ผู้ก้าวย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว ได้ก้าวขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลายครั้ง พร้อมกับพยายามร้องตะโกนขึ้นเสียงดังเพื่อที่จะให้พวกกบฏแยกตัวออกไป และไม่กระทำการใดๆ ในขณะเดียวกันท่านมัรวานเองก็ไม่แสดงความจริงใจออกมาให้เห็นว่าเขาจะปกป้องอารักขาและให้ความปลอดภัยแก่คอลีฟะฮ์อย่างไร เขาได้แต่ตะโกนพร้อมเสียงอันดังพร้อมด้วยคำพูดที่รุนแรงเพื่อที่ว่าพวกกบฏเหล่านั้น จะได้แยกย้ายตัวเองกลับไป โดยไม่ต้องไปฟังคำขอร้องและข้อเสนอใดๆ ของพวกเขาและภายในบ้านของ คอลีฟะฮ์เองภรรยาของท่านคือนาอีละฮฺ (ก่อนนี้นับถือศาสนาคริสต์) ได้เสนอให้ท่านคอลีฟะฮ์ทำความสนิทสนมกับท่านอาลี และพยายามห่างไกลจากมัรวานและลูกสมุนของเขา

ในชีวิตของนบี นั้นได้เคยกล่าวไว้ว่า จะต้องเกิดการฟิตนะฮฺในระยะเวลาอันใกล้กับท่าน และเหตุการณ์ณ์ต่างๆได้บงบอกว่าการฟิตนะฮฺ(การฆ่า)นั้นจะเกิดขึ้นในสมัยของคอลีฟะฮ์อุษมานและก่อนที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานจะถูกสังหาร ท่านได้ฝันไปว่า ท่านได้รับเชิญจากนบี เข้าร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน (ซึ่งท่านนบีก็ได้สิ้นชีพไปแล้ว เป็นเครื่องหมายบงที่ว่าท่านจะได้พบกับท่านนบี ในอาลัมบัรฺซัล-ปรภพ) หลายสัปดาห์ผ่านไปเหตุการณ์ได้ทวีความรุนแรงขึ้นโดยมีคนกลุ่มน้อยจากพวกกบฏได้เข้าไปในบ้านของท่านทางประตูหลัง พวกเขาเผชิญหน้ากับคอลีฟะฮฺและทำท่าจะสังหารคอลีฟะฮฺ แต่พวกเขากลับหยุดชะงักเพราะใจไม่กล้าพอที่จะสังหาร คอลีฟะฮ์ในขณะนั้น พวกเขาจึงเดินออกไปอย่างเงียบๆ

ในขณะนั้นเป็นช่วงของการทำพิธีฮัจย์ บรรดาผู้คนที่มาจากทั่วทุกแห่งหนของแผ่นดินอาหรับต่างก็เดินทางเข้าสู่มะกะฮฺและมาดีนะฮฺ เมื่อเป็นนี้ฝ่ายกบฏจึงดำเนินการตามแผนเพื่อสังหารคอลีฟะฮ์ ก่อนที่กำลังการช่วยเหลือจากฝ่ายอื่นจะมาถึง ชั่วขณะนั้นกลุ่มกบฏก็ไม่อาจรอคอยได้อีก พวกเขาพากันมุ่งตรงเข้าสู่บ้านของคอลีฟะฮ์ จากนั้นก็ได้ปีนขึ้นไปทางด้านหลังและได้เผชิญหน้ากับคอลีฟะฮ์ของพวกเขากรูกันเข้ามาตี แทง และบั่นคอของคอลีฟะฮ์ ขณะที่คอลีฟะฮ์กำลังอ่านอัล-กุรอ่านในมุศฮัฟของท่าน (ฉบับอุสมาน) ทั้งๆที่กำลังถือศีลอดในวันศุกร์ นาอิละฮฺก็รีบเร่งเข้าไปช่วยสามีของนาง แต่ก็ไม่สำเร็จ นอกจากนี้นิ้วมือของนางก็ยังถูกพวกกบฏตัดจนขาด บัดนี้วิญญาณของคอลีฟะฮ์ ได้ออกจากเรือนร่างไปแล้วและทรัพย์สินมีค่าในบ้านก็ถูกริบไปจนหมดหยดเลือดของคอลีฟะฮ์อุษมานกระเซ็นลงบนมุศฮัฟอัลกุรอานอันพิสุทธิ์ที่ท่านกำลังเปิดอ่านอยู่นั้นก่อนที่มืออันมีเกียรติของท่านจะมีโอกาสปิดมุศฮัฟฉบับนั้น

ขณะที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานถูกสังหาร ท่านอาลีอยู่ในมัสยิดนะบะวีย์ และท่านได้รับรู้ข่าวร้ายที่นั้น อย่างไม่คากฝันมาก่อน

ถ้ามองตามหลักการศาสนาแล้วย่อมเป็นการหะรอม (ต้องห้ามทางศาสนา)ในการคิดคดและก่อการกบฏต่อคอลีฟะฮ์ ผู้ซึ่งสามารถดำรงการปกครองตามคัมภีร์อัลกุรอานได้ที่สำคัญที่สุดก็คือหากได้มีการสังหารและช่วงชิงทรัพย์สินที่ได้รับมาจากการบริจาคอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นการฮะรอมยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผ่นดินอันบริสุทธิ์อัลมาดีนะซึ่งกำลังอยู่ในเดือนหะรอม (ฤดูการของการประกอบพิธีฮัจย์) อีกด้วย

อัลอุสตาซ ฟารีด วัจญ์ดี ได้กระทำการที่เกินไป ด้วยการฆาตรกรรมคอลีฟะฮ์ครั้งนี้ ตามความคิดของเขาการบังคับให้คอลีฟะฮ์ สละอกจากตำแหน่ง ก็ย่อมเป็นการเพียงพอแล้ว

ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานสิ้นชีวิตเพราะถูกสังหารในเวลาเกือบค่ำ หรือกลางคืนของวันที่ 18 ซุลฮิจยะฮฺ ฮ.ศ.35-20 พฤษภาคม ค.ศ. 656 โดยในขณะนั้น ท่านมีอายุได้ 82 ปี