29 April 2011

สื่อตปท.วิเคราะห์สถานการณ์ไทยสู้รบเขมร ชี้กองทัพขัดแย้งรบ.-ยิ่งรบยิ่งเสีย"เพลี่ยงพล้ำฮุน เซน"

สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักได้จับตามองสถานการณ์สู้รบระหว่างไทยและกัมพูชา และวิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าว โดย "ดิ อินดิเพนเดนท์" รายงานอ้างการวิเคราะห์ของศาสตราจารย์ดันแคน แม็คคาร์โก้ ศาสตราจารย์ด้านการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยลีดส์ ระบุว่า สถานการณ์พิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาขณะนี้เป็นผลมาจากการขัดแย้งระหว่างกองทัพไทย กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักนายกรัฐมนตรี โดยในอดีตที่ผ่านมา กองทัพไทยมักจะถือสิทธิในการดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศเพื่อเดินหน้าไปถึงที่สุด และในสงครามระหว่างกัมพูชาที่ประหลาดและไร้เป้าหมายนี้ กองทัพไทยกำลังพยายามที่จะแสดงตัวว่าเป็นผู้นำผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติ และยึดกุมศรัทธาจากประชาชนแทนนักการเมือง อย่างไรก็ตาม ยิ่งความขัดแย้งดำเนินไปมากเท่าไหร่ ไทยก็จะสูญเสียภาพลักษณ์ในสายตาประชาคมโลก และนี่จะกลายเป็นปัญหาปวดหัวสำหรับอาเซียนและสหประชาชาติ แต่หากกองทัพไทยยอมรับว่า นโยบายต่างประเทศควรดำเนินโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเร็วเท่าใด ก็ยิ่งจะดีเท่านั้น ด้าน "อีโคโนมิสต์" วิเคราะห์ว่า บางทีสิ่งเดียวที่จะยุติความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศนี้ได้ก็คือ เกิดการเปลี่ยนแปลงในกลไกทางการเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของไทย ซึ่งมีการชุมนุมปลุกกระแสรักชาติของกลุ่มชาตินิยมในช่วงการเลือกตั้ง โดยกลุ่มเสื้อเหลืองที่ผ่านมาได้ออกมาชุมนุมทางการเมืองในกรุงเทพมหานคร และแสดงจุดยืนแข็งกร้าวต่อต้านกัมพูชาว่าเป็นพวกรุกรานก้าวร้าว และต้องการให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปลี่ยนแปลงจุดยืนกับกัมพูชา นอกจากนี้ ยังเกิดกระแสร่ำลือด้วยว่า สงครามที่เกิดขึ้นเนื่องจากกองทัพไทยต้องการกลบเกลื่อนวิกฤตภายในประเทศ และเพื่อที่จะเลื่อนการเลือกตั้งทั่วไปออกไป โดยกองทัพเกรงว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ฝ่ายที่จะชนะคือกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ด้านนิตยสารไทมส์ ได้อ้างอิงการวิเคราะห์จากนายจอห์น ซิออร์เซียริ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งสถาบันนโยบายสาธาารณะ เจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด มหาวิทยาลัยมิชิแกน ระบุว่า ในประเทศที่กองทัพต้องการมีบทบาทนำทางการเมือง ก็จำเป็นจะต้องสร้างสถานการณ์ขัดแย้งด้านพิพาทพรมแดนเพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างอิทธิพล และกองทัพไทยมักจะผูกพันกับสถานการณ์ขัดแย้งกับกัมพูชาเพราะมีกลุ่มเสื้อเหลืองเป็นฝ่ายสนับสนุนหลัก โดยที่ผ่านมา กลุ่มการเมืองดังกล่าวเคยใช้ประเด็นความขัดแย้งเรื่องดินแดนกับกัมพูชา มาเป็นข้ออ้างในการชุมนุมเพื่อล้มรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นพันธมิตรกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2008 และขณะนี้สำหรับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชะชีวะ ก็อยู่ในสถานะที่จำเป็นต้องทำให้กลุ่มคนเหล่านี้มีท่าทีสงบลงต่อสถานการณ์การสู้รบกับกัมพูชา และว่า การต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชายังได้ช่วยให้นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา สามารถทำทางคะแนนการเมืองภายในประเทศได้อีกด้วย ขณะที่ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจาย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การที่กองทัพไทยดำเนินบทบาทเดินหน้าในลักษณะเสริมไฟขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยปฎิเสธที่จะยุติสถานการณ์สู้รบเพราะผลประโยชน์ทางการเมืองของกองทัพเอง ยิ่งทำให้ไทยเป็นรองกัมพูชาในสายตาผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ และทำให้นานาชาติพากันมองไทยในด้านลบ

Israel marah pemimpin Fatah, Hamas berdamai

AZZAM (kanan) bersalaman dengan timbalan ketua Hamas, Mussa Abu Marzuq selepas mencapai persefahaman membentuk kerajaan perpaduan sementara dan mengadakan pilihan raya. RAMALLAH: Pemimpin Fatah dan Hamas membuat kejutan apabila mencapai persetujuan semalam untuk berdamai seterusnya membentuk kerajaan perpaduan sementara dan berikrar mengadakan pilihan raya dalam tempoh setahun lagi, langkah yang dikecam Israel sebagai ‘melangkah garis merah.’ Perjanjian antara perunding Fatah dan Hamas itu dicapai di Kaherah kelmarin selepas rundingan berlangsung 18 bulan. Ia mendapat pujian Perdana Menteri Palestin, Salam Fayyad yang berharap dapat menjadi asas untuk segera mewujudkan pentadbiran perpaduan. Iran turut menyatakan pujian kerana percaya ia dapat mempercepat perkembangan di Palestin dan mencapai kemenangan besar ke atas Israel sejak dua pergerakan Palestin itu bermusuh pada awal 1990-an. Israel pula memberi reaksi marah dengan Menteri Luar Luar, Avigdor Lieberman dan Menteri Pertahanan, Ehud Barak memberi amaran bahawa rejim Tel Aviv tidak akan menerima kerajaan Hamas. “Perjanjian itu satu langkah melepasi garisan merah,” kata Lieberman kepada radio tentera Israel sambil memberi amaran mereka akan mengambil tindakan balas manakala Barak berkata tentera Yahudi akan bersikap kuku besi untuk menangani sebarang ancaman dan berikar tidak akan berunding dengan Hamas.’ Perdana Menteri Israel, Benjamin Netanyahu pula menuntut pemimpun Fatah, Mahmoud Abbas, memilih antara perdamaian dengan Israel atau berdamai dengan Hamas. Persetujuan itu menetapkan dua pihak berkenaan akan bekerjasama membentuk kerajaan perpaduan daripada ahli politik pilihan dua pergerakan berkenaan sehingga pilihan raya tempatan diadakan, kata ketua perunding Fatah, Azzam al-Ahmad. Wakil Hamas dan Fatah akan pulang ke Kaherah minggu depan bagi menandatangani dokumen yang turut menetapkan syarat pembebasan tahanan politik dua parti berkenaan. – AFP Maklumat dari:BeritaHarianOnline

27 April 2011

ดร.แอ อาลี กุมบังเหียน อามีรุลฮัจย์ ปีนี้

สำนักข่าวมุสลิมไทย ฉันทามติโดมทอง ดร.แอ กุมบังเหียน อามีรุลฮัจย์ ปีนี้ ที่ประชุม กอท. ประจำเดือนเมษายน 2554 มีมติส่งชื่อ ดร.อิสมาแอ อาลี เป็นอามีรุลฮัจย์ประจำปี 2554 ทำหน้าที่แทนจุฬาราชมนตรี เนื่องจากท่านจุฬาราชมนตรีเข้ารับการรักษาสุขภาพที่โรงพยาบาลจุฬาฯ โดยคาดว่าจะต้องทำกายภาพบำบัดอีกระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ภาระกิจของอามีรุลฮัจย์ก็เป็นภาระกิจที่สำคัญยิ่งในทุกๆปี ดังนั้นจึงมีมติให้แต่งตั้ง ดร.อิสมาแอ อาลี เป็นอามีรุลฮัจย์ประจำปี 2554 ทั้งนี้ในกระบวนการต่อไปคือ รอการประกาศจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นภายใน 1-2เดือนนี้ ในอดีตที่ผ่านมา หากทาง กอท.ส่งชื่อใครเป็นอมีรุลฮัจย์ รัฐบาลก็จะประกาศผลอย่างรวดเร็วตามรายชื่อที่ กอท.ยื่นส่งไป ดร.อิสลามแอ เผยกับผู้สื่อข่าวมุสลิมไทยว่า เดิมทีท่านจุฬาฯ ก็ได้บอกกล่าวในเรื่องดังกล่าวนี้แล้ว ทั้งนี้ก็ได้ให้คำปรึกษากับท่านจุฬาฯ ว่าหากมีคนที่ทำหน้าที่ได้ดีหรือมีความเหมาะสม ผม (ดร.แอ) ก็พร้อมสละสิทธิ์และขอเป็นตัวเลือกสุดท้าย เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับฮัจย์ในปัจจุบันนี้ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการทำหน้าที่ของอามีรุลฮัจย์ด้วย ดร.แอ เผยว่า เป็นที่ทราบกับว่าปัญหาเกี่ยวกับฮัจย์ของประเทศไทยนั้นมีอยู่พอสมควร และขณะเดียวกันการแก้ปัญหาก็จะต้องดำเนินต่อไป ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็จะดำเนินการแก้ปัญหาให้ดีที่สุด ภายใต้บทบัญญัติศาสนาและความถูกต้องเหมาะสม พร้อมเผยว่า หากมีการประกาศอย่างเป็นทางแล้วนั้น ก็จะต้องประชุมหารือกับทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินพิธีฮัจย์ของพี่น้องมุสลิมในปีนี้ มีความสมบูรณ์มากที่สุด – www.muslimthai.com

ศาสนากับ “หน้ากาก”

สุรพศ ทวีศักดิ์ Wed, 2011-04-27 02:05 “ฉันไม่ใช่พุทธศาสนิก ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง และธรรมะมีไว้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี และจิตวิญญาณอันลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องรูปแบบทางวัฒนธรรม หรือทางศาสนาใดๆ โดยเฉพาะ” - เชอเกียม ตรุงปะ – ผม “ถูกใจ” ข้อความข้างบนจากหนังสือ “ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ” ของ เชอเกียม ตรุงปะ คุรุทางจิตวิญญาณแห่งโลกสมัยใหม่ในสายธารทางปัญญาของวัชรญาณแบบธิเบต-อเมริกัน หนังสือเล่มดังกล่าว แปลโดย วิจักขณ์ พานิช ชาวพุทธรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองในบทบาทของการพยายามเสนอความไปด้วยกันได้ระหว่างมิติทางจิตวิญญาณและมิติทางสังคมของพุทธศาสนา สิ่งที่ เชอเกียม ตรุงปะ เรียกว่า “จิตวิญญาณ” ไม่ได้หมายถึงของสูงส่ง ของวิเศษสุดเอื้อม ที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะของ “อภิมนุษย์” เช่น พระอริยะเจ้า พระอรหันต์ หรือคนที่มุ่งสละชีวิตทางโลก หันหลังให้กับความเป็นไปของสังคม มุ่งปลีกวิเวกหรือปลีกตัวออกไปจากความวุ่นวายทางโลกไปอยู่ในป่าโดยลำพัง หากแต่จิตวิญญาณคือ ธรรมชาติหรือเนื้อแท้ของคนธรรมดาทุกคน และธรรมะก็ไม่ใช่มีไว้เพื่อการอื่นที่นอกเหนือไปจากการปกป้องศักดิ์ศรีและจิตวิญญาณอันลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์ธรรมดา ท่านพุทธทาสเคยบอกว่า “ภาษาธรรม” ในพุทธศาสนานั้น เดิมทีเป็นภาษาชาวบ้านธรรมดาๆ เช่น คำว่า “นิพพาน” เป็นภาษาที่คนอินเดียโบราณใช้กันอย่างปกติในชีวิตประจำวัน นิพพานแปลว่า ดับ หรือเย็น เวลาไฟดับชาวบ้านก็ว่าไฟนิพพาน หรือคนๆ นี้ดูอัธยาศัยดีใครอยู่ใกล้ชิดแล้วสบายใจ เย็นใจ อย่างที่มีคนพูดถึงบุคลิกภาพของเจ้าชายสิทธิธัตถะว่า พ่อแม่ที่มีลูกเช่นนี้ก็นิพพาน (เย็นใจ) ภรรยาที่มีสามีเช่นนี้ก็นิพพาน (เย็นใจ) เป็นต้น และเมื่อนิพพานถูกนำมาใช้ในทางศาสนาก็หมายถึง “ความดับทุกข์” หากดับทุกข์ชั่วคราวหรือดับทุกข์เฉพาะเรื่องๆ ไป ก็เรียกว่านิพพานชั่วขณะ หากดับทุกข์ถาวรก็เรียกว่าดับทุกสิ้นเชิง แต่นิพพานไม่ได้มีความหมายว่า เป็นของสูงส่ง หรือของศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้คนเป็นผู้วิเศษ หรือเป็นอภิมนุษย์ที่มีสถานะเหนือมนุษย์มนาธรรมดาทั่วๆ ไป ทว่าต่อมาเมื่อคำว่านิพพานหรือแม้แต่คำว่า “ธรรมะ” ถูกใช้ในศาสนาแบบจารีตประเพณี คำที่เคยใช้กันธรรมดาๆ ก็กลายเป็น “คำศักดิ์สิทธิ์” ขึ้นมา และแทนที่จะใช้กันเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและจิตวิญญาณในความเป็นมนุษย์ธรรมดา กลับเป็นคำที่สร้าง “มายาคติ” อย่างสลับซับซ้อน พูดภาษาบ้านๆ คือคำว่า “ธรรมะ” กลายเป็นคำที่ใช้สร้าง “หน้ากาก” หลายชั้นมาก จนทุกวันนี้เวลาเราพบบุคคลที่บรรดาสาวกยกย่องว่าเป็นคนปฏิบัติธรรมหรือมีธรรมะสูงส่ง เราไม่แน่ใจว่าเขาสวมหน้ากากอยู่กี่ชั้น หรือจะถอดหน้ากากออกกี่ชั้นถึงจะพบความเป็น “คนธรรมดา” ของเขา ที่แย่ที่สุดคือ พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนเรา แต่พุทธศาสนาแบบจารีตก็ไปสวมหน้ากากให้กับพระองค์จนกลายเป็นอภิมนุษย์ เป็นผู้วิเศษ เป็นสัพพัญญูที่รู้เจนจบจักรวาล รู้โลกนี้ รู้โลกหน้า เป็นสุดยอดนักเศรษฐศาสตร์ สุดยอดนักการเมือง เป็นสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ รู้โลกกลม รู้ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ประมาณว่าไอสไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ดาร์วินขยายความ พระพุทธเจ้ารู้แจ้ง ฯลฯ ไปๆ มาๆ เราเลยแยกไม่ออกว่า พระพุทธเจ้ากับ God ต่างกันยังไง ! “พุทธะ” ที่แปลว่าผู้รู้ทุกข์กับความดับทุกข์ และธรรมะซึ่งหมายถึงความจริงเกี่ยวกับทุกข์และความดับทุกข์ของมนุษย์ธรรมดาๆ นั้น ได้ “ถูกปรุงแต่ง” ให้กลายเป็นของวิเศษ และถูกนำมาสร้างมายาคติว่าผู้มีธรรมะคือผู้วิเศษ ตั้งแต่วิเศษระดับธรรมดาๆ คือดีกว่าคนแบบโลกย์ๆ ทั่วไป มีภาพลักษณ์อันน่านิยมในแวดวงดารา ในสังคมชนชั้นกลาง เป็นภาพอุดมคติของนักการเมือง กระทั่งเป็นสิ่งที่ทำให้คนกลายเป็นเทพ ฯลฯ ธรรมะที่เคยมีความหมายอย่างเรียบง่ายอย่างที่ ติช นัท ฮันห์ นิยามว่า “ธรรมะคือมรรควิถีแห่งความเข้าใจและความรัก” ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ธรรมหรือการปฏิบัติธรรมคือการเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจความทุกข์ของตนเองและเพื่อนมนุษย์ เพื่ออยู่ร่วมกันในฐานะ “เพื่อนร่วมทุกข์” ที่เข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันและกันนั้น ได้กลายมาเป็นดาบสำหรับฟาดฟันเพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งแบ่งแยกความแตกต่างในความเป็นคน กระทั่งสนับสนุนความศักดิ์สิทธิ์ของระบบชนชั้น สังเกตไหมครับ การประกาศใช้ “ธรรมนำหน้า” นั้น ธรรมะที่พูดถึงมีความหมายเป็น “ของศักดิ์สิทธิ์” และเป็นเครื่องมือส่งเสริมความศักดิ์สิทธิ์ของอุดมการณ์ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ธรรมะในความหมายนี้จึงไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้อง “ศักดิ์ศรีและจิตวิญญาณอันลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์ธรรมดา” หรือไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้อง “ความเป็นคน” ของประชาชนแต่อย่างใด ดังนั้น ภายใต้วาทกรรม “ธรรมนำหน้า” จึงไม่มี “คน” หรือ “ประชาชน” อยู่ในนั้นเลย ฝ่ายที่เห็นต่างจึงกลายเป็นพวกเฬวราก พวกถ่อย สมุนโจร และหัวหน้าโจรคือ “ปีศาจชาติชั่ว” ที่ไม่มีความเป็นคนเหลืออยู่เลย ตัวอย่างดังกล่าวไม่ใช่ผมพูดเสียดสีนะครับ แต่เป็น “ข้อเท็จจริง” ที่เห็นได้ชัดมาก และอีกด้านหนึ่งเราก็เห็นอยู่ทุกวันว่า ธรรมะถูกใช้สนับสนุนสถานะของ “ผู้วิเศษ” ต่างๆ ตั้งแต่ผู้วิเศษที่สแกนกรรมออกทีวีทุกวัน เจ้าอาวาสวัดใหญ่เคยทำซีดีอธิบายภพภูมิของพญานาคใต้แม่น้ำโขงเพื่อยืนยันที่มาของบั้งไฟพญานาค ฯลฯ สรุปแล้วศาสนาจารีตประเพณีได้ “แปรรูปธรรมะ” ซึ่งเป็นภาษาชาวบ้านธรรมดาๆ ให้กลายเป็น “ของศักดิ์สิทธิ์” และนำมาสร้าง “มายาคติ” หรือ “ยากล่อมประสาท” สร้างหน้ากากแก่พระพุทธเจ้า หน้ากากของ “ผู้วิเศษ” สร้างความศักดิ์สิทธิ์ทางชนชั้น เป็นต้น จนยากเหลือเกินที่เราจะถอดหน้ากากที่สลับซับซ้อนต่างๆ เหล่านั้น เพื่อให้พบ “ธรรมะธรรมดา” ที่มีความหมายต่อการสร้างมรรควิถีแห่งความเข้าใจทุกข์ของตนเองและของกันและกัน หรือที่มีความหมายส่งเสริมให้เราอยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจ และเคารพกันและกันในฐานะที่ทุกคนเป็นคนธรรมดาครือๆ กัน ! From:Prachathai.com

26 April 2011

A touching lesson from a 9-year-old Japanese boy!

Last night I was sent to a primary school, in order to assist the autonomous association there distributing food to the victims. Among the long waiting queue, I noticed a boy at around 9 year-old, wearing only a T-shirt and a pair of shorts. The weather was really cold and he was standing at the end of the line. I was afraid that there might not be any food left when his turn came, thus I came over to talk to him. He told me that the earthquake and tsunami came when he was at school, in his physical education class. His father, who worked nearby, came to the school. From the balcony on the 3rd floor of the school, he saw his father and the car being swept away by the water. His father had most likely died. As I asked where his mom was, he told me that since his family lived close to the ocean, his mom and brother must have not escaped in time. He quickly turned to wipe away his tears when being asked about his relatives. Seeing that he was cold, I took off my police coat and covered him up with it. Inadvertently, my dinner portion felt out of the pocket. I picked it up, gave it to him, and said: “I’m afraid there’d be no food left when it’s your turn. Here is mine. I already ate. You go ahead and have it” The little boy received the food, bending over to thank. I was thinking he would start eating voraciously at that moment, but no. He carried it and went straight to the front of the line, where the people are handing out food, put what I gave him into the box of food that was being distributed, then turned back to the queue. Extremely surprised, I asked why he didn’t eat it instead. He answered: “ Because there are more people who probably are hungrier than me. I put it in there so they could fairly distribute it to everyone” After hearing his answer, I turned away to cry so people couldn’t see it. I was moved. I can’t believe that a 9 year-old little boy, who was only in the 3rd grade, could teach me such a lesson in this difficult moment. A very touching lesson about sacrifice. A nation with children who are only 9 year-old, yet already know how to be patient, to bear hardship, and to sacrifice for others is undoubtedly a great nation. Even though this country is in its most critical moments, it certainly will revive stronger, thanks to the people who know to sacrifice themselves for others at such a young age. ๐๐๐๐๐๐๐๐๐ สะเทือนใจ !!! วีรชนสึนามิวัย9ขวบ สอนบทเรียน ให้กับผู้ใหญ่คราวพ่อ ต้องหลั่งน้ำตา .... เมื่อคืนนี้ ผมถูกส่งไปที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยหน่วยงานอาสาสมัครในการแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ประสบภัยพิบัติ ในหมู่ผู้ที่เข้าคิวยาวรออยู่นั้น ผมสังเกตุเห็นเด็กชายอายุประมาณ 9 ขวบคนหนึ่ง ซึ่งใส่เพียงเสื้อคอกลมและกางเกงขาสั้น. อากาศขณะนั้นหนาวเย็นมาก และเขากำลังยืนคอยอยู่ตอนท้ายแถว ผมเป็นห่วงว่าอาจจะไม่มีอาหารหลงเหลือพอ เมื่อถึงคิวของเขา ผมจึงเดินไปเพื่อคุยกับเขา เขาเล่าให้ผมฟังว่า แผ่นดินไหวและสึนามิเกิดขึ้นขณะที่เขาอยู่ที่โรงเรียน ในชั่วโมงพละศึกษา. พ่อของเขาซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆกันมาหาเขาที่โรงเรียน เขามองเห็นคุณพ่อและรถของเขาถูกน้ำพัดหายไป จากระเบียงบนชั้นสามของโรงเรียน คุณพ่อของเขาคงเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อผมถามเขาถึงคุณแม่ เขาบอกผมว่า ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ริมทะเล ดังนั้นคุณแม่และน้องชายของเขาคงไม่สามารถหลบหนีได้ทัน เขาหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง เพื่อเช็ดน้ำตาเมื่อถูกถามถึงญาติๆของเขา ผมเห็นว่าเขาคงหนาวอยู่ จึงถอดเสื้อโค๊ทตำรวจแล้วคลุมร่างเขาไว้ ขณะเดียวกับที่ อาหารมื้อเย็นที่เหลือซึ่งซุกอยู่ในกระเป๋าก็หล่นออกมา ผมหยิบมันขึ้นมา แล้วส่งให้เขาพร้อมบอกเขาไปว่า “น้าเป็นห่วงว่า อาจจะไม่มีอาหารเหลือถึงคิวของเธออีก นี่เป็นส่วนของน้า น้ากินไปแล้วหน่อยหนึ่ง เธอกินส่วนที่เหลือให้หมดเถอะ” เด็กน้อยยื่นมือมารับอาหาร แล้วค้อมตัวลงกล่าวคำขอบคุณ ผมคิดว่าเขาคงรีบกินด้วยความหิวในทันที แต่ .. เปล่าเลย เขาถืออาหารชิ้นนั้น แล้วเดินตรงไปยังหัวแถว ที่ซึ่งมีคนคอยแจกอาหารอยู่ แล้ววางอาหารที่ผมให้กับเขาลงไปในกล่องของอาหารที่กำลังได้รับการแจกจ่าย แล้วเขาก็เดินกลับ มาเข้าแถวในคิวของเขา ผมประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงถามเขาว่าทำไมเขาไม่กินอาหารที่ผมให้เสียละ เขาตอบผมว่า “เพราะมีคนอีกมาก ที่อาจจะหิวยิ่งกว่าผม ผมวางไว้ที่นั่น ก็เพื่ออาหารจะได้รับการแจกจ่ายอย่างเป็นธรรมให้กับทุกคน” เมื่อผมได้ฟังคำตอบ ผมต้องหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อร้องไห้ โดยที่คนอื่นๆจะได้มองไม่เห็น ผมรู้สึกตื้นตันใจ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กชายอายุ 9 ขวบ ซึ่งยังเรียนอยู่เพียงชั้นประถมปีที่ 3 จะสามารถสอนบทเรียนล้ำค่าแก่ผม ในเวลาคับขันเช่นนี้ มันเป็นบทเรียนแสนสะเทือนใจของความเสียสละ ประเทศใด ที่มีเด็กๆอายุเพียง 9 ปี ซึ่งเรียนรู้ที่จะอดทน ที่จะทนกับความยากลำบาก และเสียสละเพื่อผู้อื่นได้ ต้องเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ประเทศหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ประเทศนี้กำลังอยู่ในสภาวะที่คับขันที่สุด แต่ประเทศนี้ต้องสามารถฟื้นคืนกลับมาได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ด้วยเพราะประชาชนผู้รู้ที่จะเสียสละตัวเองให้กับผู้อื่น ดังเช่นเด็กชายน้อยๆผู้นี้