28 December 2010

OIC ย้ำความจำเป็นต้องมีสื่อมุสลิม ที่แข็งแกร่ง

Arab News: ศ.Ekmeleddin Ihsanoglu เลขาธิการของ องค์กรที่ประชุมชาติอิสลามหรือ OIC ซึ่งมีสมาชิก 57 ประเทศ กล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องมีสื่อมุสลิมที่แข็งแกร่งเพื่อรับการเผชิญหน้ากับการรุกรานของโลกในกระแสต่อต้านอิสลาม "มันเป็นปัญหาใหญ่จากการละเลยสื่อมุสลิม ท่ามกลางการเจริญโตบโตอย่างรวดเร็วของการสื่อสารโลก" เขากล่าวต่อที่ประชุมทั่วไปของสหภาพการกระจายเสียงอิสลาม หรือ IBU ที่มี OIC เข้าร่วมประชุมด้วย เขากล่าวอีกว่า ในการประชุมนัดพิเศษของ OIC ที่มีขึ้นเมื่อ 2005 ในมักกะฮฺ ได้มีความคิดริเริ่มของกษัตริย์อับดุลลอฮฺ ที่เรียกร้องให้ OIC เสริมสร้างความเข้มแข็งของสื่อ IBU และสำนักข่าวอิสลามนานาชาติ หรือ IINA นอกจากนี้ในการประชุมของ IBU ยังได้มีการรับรองการแต่งตั้ง Zain Al-Abidine Ibrahim ชาวมาเลเซียขึ้นเป็นเลขาธิการทั่วไปขององค์กรด้วย

24 December 2010

International Conference

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته Roles of Islamic Studies in Post Globalized Societies 21-23December2010 College of Islamic Studies, Prince of Songkla University,Pattani Campus,Thailand
 
 
Posted by Picasa

22 December 2010

เอแบคโพลล์ เผยนักเรียนนักศึกษา จากป. 5 ถึงปริญญาเอกดื่มเหล้า 3,631,706 คน สูบบุหรี่ 1 ล้านคน

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจต่อเนื่องภายใต้โครงการวิจัยเพื่อเฝ้าระวังรักษาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนไทย เรื่อง ประมาณการตัวเลขนักเรียน นักศึกษาผู้ใช้ยาเสพติด จากตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ (ป.) 5 ถึงนักศึกษาปริญญาเอกทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 21,572 ตัวอย่าง ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-21 ธันวาคม 2553 ผลวิจัยพบว่า นักเรียนนักศึกษาชายมีสัดส่วนของคนที่สูบบุหรี่และดื่มเหล้าสูงกว่านักเรียนนักศึกษาหญิง คือร้อยละ 15.8 ต่อร้อยละ 5.1 สูบบุหรี่ และร้อยละ 33.8 ต่อร้อยละ 27.9 ดื่มเหล้า เมื่อทำการประมาณการจำนวนตัวเลขนักเรียน/นักศึกษาที่ดื่มเหล้าจากกลุ่มเป้าหมาย 9,240,981 คน พบว่ามีนักเรียนนักศึกษาตั้งแต่ป.5 ถึงปริญญาเอกดื่มเหล้า 3,631,706 คน และสูบบุหรี่ 1,090,436 คน แต่ที่น่าเป็นห่วงต่อคุณภาพเด็กและเยาวชนของประเทศคือ จำนวนเด็กนักเรียน/นักศึกษาตั้งแต่ป. 5 จนถึงปริญญาเอกที่ใช้ยาเสพติด ไม่นับรวมเหล้าบุหรี่ ยานอนหลับ ไม่นับรวมยาแก้ปวด พบว่า มีนักเรียนนักศึกษาที่ใช้ยาเสพติด 711,556 คน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจำแนกตามประเภทตัวยาเสพติดที่ใช้กันในกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาตั้งแต่ป. 5 ถึงปริญญาเอก พบว่า มีจำนวน 316,110 ใช้กัญชา อีก 298,480 คน ใช้กระท่อม ใช้สาระระเหย 214,020 คน ใช้ยาบ้า 148,010 คน สี่คูณร้อย 134,480คน ยาไอซ์ 100,040 คน ยาอี อ็กซ์ตาซี ยาเลิฟ 63,550 คน และใช้ยาเค เคตามีน 53,300 คน ที่เหลืออีก 65,880 คน ใช้ยาเสพติดอื่นๆ เช่น เฮโรอีน มอร์ฟีน โคเคน เป็นต้น ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ ผลการใช้หลักสถิติวิจัยพบว่า นักเรียน/นักศึกษาตั้งแต่ป. 5 จนถึงปริญญาเอก ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดสูงกว่าเด็กนักเรียน นักศึกษาที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 9 เท่า หรือ 9.052 เท่า และเด็กนักเรียนนักศึกษาที่ดื่มเหล้ามีโอกาสเข้าไปใช้ยาเสพติดสูงกว่าเด็กนักเรียนนักศึกษาที่ไม่ดื่มสูงถึง 4 เท่า หรือ 4.413 เท่า นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังได้ทำการสำรวจกลุ่มข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับ รองผู้กำกับและสารวัตรหัวหน้าสถานีตำรวจจำนวน 612 แห่งทั่วประเทศ พบว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.0 บอกว่า อาวุธของขบวนการค้ายาเสพติดมีประสิทธิภาพมากกว่า อาวุธประจำกายของตำรวจ ในขณะที่ร้อยละ 31.0 ระบุว่า อาวุธประจำกายของตำรวจมีประสิทธิภาพมากกว่า ประเด็นที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ถ้าตำรวจประสบเหตุต่อสู้กับขบวนการค้ายาเสพติด ร้อยละ 34.4 ระบุมีปัญหาประสานงานล่าช้าจากทหารในการเข้าถึงที่เกิดเหตุ ในขณะที่ร้อยละ 32.6 ระบุมีการประสานงานล่าช้าในการเข้าถึงที่เกิดเหตุจากฝ่ายปกครอง ในขณะที่ร้อยละ 11.1 ระบุมีปัญหาประสานงานล่าช้าเข้าถึงที่เกิดเหตุจากทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายปกครอง และร้อยละ 21.9 ไม่คิดเช่นนั้น สำหรับข้อเสนอแนะพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.1 ระบุงบประมาณในการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด รองลงมาคือ ร้อยละ 39.1 ระบุอุปกรณ์การตรวจสารเสพติด อาวุธประจำกาย ร้อยละ 14.9 ระบุความทันสมัยของเครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ ร้อยละ 13.5 ระบุการเลื่อนขั้น เพิ่มสวัสดิการ รองๆ ลงไปคือ การปรับปรุงกฎหมาย สนับสนุนการปราบปรามยาเสพติดมากขึ้น เพิ่มความรวดเร็วเมื่อประสบเหตุ และกำลังพลในการปฏิบัติหน้าที่จากฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง ยานพาหนะ ค่าน้ำมัน การอบรมด้านการใช้อาวุธ ให้ความสำคัญเด็ดขาดกับผู้ค้ายาเสพติด และวางนโยบายหลักในการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง เป็นต้น ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชนกล่าวว่า “รั้วโรงเรียน” ตามแนวนโยบายของรัฐบาลอาจได้รับความพึงพอใจตามความรู้สึกของสาธารณชน แต่ในข้อเท็จจริงที่ปรากฏของผลวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า รั้วโรงเรียนยังมีปัญหาเพราะปัญหายาเสพติดในกลุ่มนักเรียนนักศึกษายังมีให้ปรากฏอยู่เป็นจำนวนมาก และการทำงานเชื่อมประสานกันระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก็มีปัญหา มีช่องว่างเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ วัสดุอุปกรณ์ อาวุธประจำกายของเจ้าหน้าที่ก็ได้รับการยืนยันจากผู้ปฏิบัติว่าด้อยประสิทธิภาพกว่าอาวุธของขบวนการค้ายาเสพติด การเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงไปถึงมือผู้ใต้บังคับบัญชาต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มข้นว่า พวกเขาที่เสี่ยงภัยในพื้นที่เหล่านั้นได้รับเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ตกค้างในมือของผู้บังคับบัญชาระดับสูง “ดังนั้น รัฐบาลและกลไกของรัฐในทุกระดับต้องกระชับลดช่องว่างในการปฏิบัติการตามแนวนโยบายโดยในระยะสั้นน่าจะเร่งสนับสนุนการทำงานเต็มรูปแบบไปยังสถานีตำรวจทุกสถานีให้พร้อมรองรับการร้องเรียนจากสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อ “เคลียร์” ให้จบในระดับพื้นที่ไม่ปล่อยให้ลุกลามบานปลาย เพราะปัญหายาเสพติดมันเกินขอบเขตความสามารถของผู้บริหารสถาบันการศึกษาจะแก้ไขได้เพียงลำพัง สุดท้าย รัฐบาลน่าจะลองพิจารณาให้การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมทำหน้าที่ตรวจสอบหน่วยงานของรัฐอย่างเข้มข้นอีกชั้นหนึ่ง” ดร.นพดลกล่าว จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่าตัวอย่างร้อยละ 58.1 เป็นชาย ร้อยละ 41.9 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 38.1 อายุต่ำกว่า 15 ปี ร้อยละ 42.7 อายุระหว่าง 15-20 ปี ร้อยละ 10.2 อายุระหว่าง 21-25 ปี และร้อยละ 9.0 อายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 21.2 กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษา ร้อยละ 33.8 กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษา ร้อยละ 13.0 กำลังศึกษาอยู่ในระดับ ปวช. ร้อยละ 11.8 กำลังศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ร้อยละ 9.8 กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี และร้อยละ 10.4 กำลังศึกษาอยู่ในระดับสูงกว่าปริญญาตรี source:Matichon online

Abbas didakwa minta Israel serang Hamas

BAITULMAQDIS 21 Dis. - Anggota parti Fatah pimpinan Presiden Palestin, Mahmud Abbas didakwa meminta Israel untuk menyerang kumpulan pembangkang Hamas pada 2007, menurut kabel diplomatik yang didedahkan oleh WikiLeaks. Pendedahan terbaru yang memetik kenyataan ketua agensi keselamatan Israel, Shin Bet kepada pegawai Amerika Syarikat (AS) itu mendakwa, pegawai Fatah di Genting Gaza telah meminta bantuan untuk menentang peningkatan pengaruh Hamas. "Mereka menghampiri situasi hasil sifar dan meminta kami untuk menyerang Hamas. Mereka terdesak," kata ketua Shin Bet, Yuval Diskin kepada pegawai AS. Menurut Diskin, agensi keselamatan Israel mempunyai 'hubungan sangat baik' dengan perkhidmatan keselamatan Abbas, di mana mereka berkongsi hampir semua maklumat perisikan dengan Shin Bet. "Mereka tahu bahawa keselamatan Israel adalah tunjang kepada kewujudan mereka dalam bergelut dengan Hamas di Tebing Barat," katanya ketika perbincangan pada Jun 2007. Pendedahan pakatan sulit dengan Israel untuk menentang pergerakan penduduk Palestin lain itu kemungkinan besar akan memalukan Abbas dan Fatah. Hamas dan Fatah mempunyai hubungan yang tegang selama beberapa tahun dan kemarahan memuncak apabila kumpulan Islam itu memenangi pilihan raya pada 2006. Setahun kemudian, sejurus selepas kenyataan Diskin pada 2007, Hamas menumpaskan Fatah dalam pertempuran berdarah di Genting Gaza dan menguasainya. Pendedahan kabel ini adalah sebahagian daripada kebanjiran fail diplomatik AS yang diterbitkan di dalam talian oleh WikiLeaks dan mencetuskan kemarahan serta memalukan kerajaan di seluruh dunia. - AFP

THE WORST ACCIDENT

Fire and rescue department personnel search for survivors of the ill-fated tourist bus which crashed in Malaysia on December 20. Twenty-seven people, including 25 Thai nationals, were killed when their bus hit a divider and overturned on its way down from Cameron Highlands, in what is possibly the worst road accident in Malaysian history. Saiful Bahri Source : The Star Published on 21-12-2010

20 December 2010

Prohibition on celebrating the festivals of the kuffaar

Diharamkannya Memperingati Hari-hari Raya Orang Kafir การร่วมงานวันรื่นเริงของผู้ไม่ใช่มุสลิมและการกล่าวอวยพร السلام عليكم ورحمة الله وبركاته Apakah boleh berpartisipasi dengan kalangan non muslim dalam Hari-hari Raya mereka, seperti hari ulang tahun misalnya? Is it permissible for Muslims to take part in their festivals, such as Christmas? คำถาม : อนุญาตให้ร่วมงานฉลองวันรื่นเริงที่สำคัญของชาวคริสเตียนและกล่าวอวยพรแก่พวกเขาหรือไม่ ? Al-Hamdulillah. Seorang muslim tidak boleh berpartisipasi dalam hari-hari perayaan mereka dan turut menunjukkan kegembiraan dan keceriaan bersama mereka dalam memperingatinya, atau ikut libur bersama mereka, baik itu peringatan yang bersifat keagamaan atau keduniawiaan. Karena itu menyerupai musuh-musuh Allah yang memang diharamkan, selain juga berarti menolong mereka dalam kebatilan. Diriwayatkan dengan shahih dari Rasulullah Shallallahu 'alaihi wa sallam bahwa beliau bersabda: "Barangsiapa yang menyerupai satu kaum berarti termasuk golongan mereka." Sementara Allah juga berfirman: "Bertolong-tolonganlah dalam kebaikan dan ketakwaan dan janganlah bertolong-tolongan dalam dosa dan permusuhan; bertakwalah kepada Allah, sesungguhnya Allah itu Maha Keras siksanya.." (QS.Al-Maa-idah : 2) Maka kami nasihat agar Anda menelaah kibat Iqtidhaa-ush Shiratil Mustaqiem karya Ibnu Taimiyyah -Rahimahullah-- sebuah buku yang amat bermutu sekali dalam persoalan tersebut. Wabillahit Taufiq. Semoga shalawat dan salam terlimpahkan kepada Nabi Muhammad Shallallahu 'alaihi wa sallam. Al-Lajnah Ad-Daa-imah Lil Buhuts Ilmiyyah wal Iftaa. Fatwa nomor 2540 ........ Praise be to Allaah. It is not permissible for the Muslim to join the kuffaar in their festivals and to express joy and happiness on these occasions, or to take the day off work, whether the occasion is religious or secular, because this is a kind of imitating the enemies of Allaah, which is forbidden, and a kind of co-operating with them in falsehood. It was proven that the Messenger of Allaah (peace and blessings of Allaah be upon him) said: “Whoever imitates a people is one of them.” And Allaah says (interpretation of the meaning): “Help you one another in Al‑Birr and At‑Taqwa (virtue, righteousness and piety); but do not help one another in sin and transgression. And fear Allaah. Verily, Allaah is Severe in punishment”[al-Maa'idah 5:2] We advise you to refer to the book Iqtidaa’ al-Siraat al-Mustaqeem by Shaykh al-Islam Ibn Taymiyah (may Allaah have mercy on him), for it is very useful on this topic. [Translator’s note: This book is available in English under the title “The Right Way,” published by Darussalam, Riyadh]. And Allaah is the source of strength. May Allaah bless our Prophet Muhammad and his family and companions, and grant them peace. Standing Committee on Academic Research and Issuing Fatwas, Fatwa no. 2540. .............. คำตอบ : อัลหัมดุลิลลาฮฺ ท่านอิบนุล ก็อยยิม ได้กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้มุสลิมร่วมงานในวันฉลองของผู้ไม่ใช่มุสลิม ซึ่งบรรดาอุละมาอ์ต่างมีความเห็นตรงกันในประเด็นนี้ บรรดาฟุเกาะฮาอ์(นักนิติศาสตร์อิสลาม)ในมัซฮับทั้งสี่ต่างให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจนในตำราของพวกเขา ... อัลบัยฮะกีย์ได้รายงานด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหฺจากอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ท่านกล่าวว่า "อย่าได้เข้าไปหาพวกมุชริกีนในโบสถ์ในวันเฉลิมฉลองของพวกเขา เพราะความพิโรธ(ของอัลลอฮฺ)จะลงมายังพวกเขาเหล่านั้น" ท่านอุมัร ยังได้กล่าวอีกว่า "จงอยู่ให้ห่างจากศัตรูของอัลลอฮฺในวันเฉลิมฉลองของพวกเขา" อัลบัยฮะกีย์ ยังได้รายงานจากอิบนุ อัมร์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา ด้วยสายรายงานที่ดีว่า "ใครที่ผ่านเมืองของพวกอะญัม(บรรดาคนที่ไม่ใช่อาหรับมุสลิม)แล้วไปร่วมงานฉลองวันนัยรูซ (Nayrouz วันขึ้นปีใหม่ของชาวอียิปต์โบราณที่ชาวคริสต์ออโธด็อกซ์นำมาใช้-ผู้แปล)และเทศกาลของพวกเขา และเลียนแบบพวกเขาจนกระทั่งเสียชีวิตในสภาพเช่นนั้น เขาจะถูกต้อนให้ชุมนุมพร้อมๆ พวกเขาในวันกิยามะฮฺ" (ดู อะห์กาม อะฮฺลิล ซิมมะฮฺ 1:723-724) คำตอบโดย เชคมุหัมมัด ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด Sumber ISLAM QA

18 December 2010

Nik Aziz derma satu pertiga simpanan kepada PAS

Menteri Besar, Datuk Nik Abdul Aziz Nik Mat, mahu mendermakan satu pertiga wang simpanannya kepada PAS sebagai tanda syukur kerana Suruhanjaya Pencegahan Rasuah Malaysia menutup fail dakwaan rasuah terhadap beliau dan menantunya. Nik Aziz yang juga Mursyidul Am PAS berkata, wang simpanannya kepada PAS bagi memantapkan lagi parti dalam usaha memperjuangkan Islam. "Saya sudah maklum pada setiausaha saya minta semak duit dalam akaun ada berapa, kemudian bahagi tiga. Saya hendak beri kepada parti sebagai sumbangan dalam memantapkan gerakan daulah Islamiyah," katanya kepada pemberita selepas ditemui di kediamannya di Kota Bharu, hari ini. Mursyidul Am Pas itu berkata, tindakan itu sebagai tanda kesyukuran di atas keputusan Suruhanjaya Pencegahan Rasuah Malaysia (SPRM) yang menutup kes bersabit tajaan terhadapnya untuk mengerjakan haji melibatkan kos RM65,000 tahun lalu. Nik Aziz berkata, dakwaan berhubung rasuah yang dilempar ke atasnya sebelum ini adalah berpunca dari rasa benci pihak tertentu lantaran kecekalannya memperjuangkan dasar Islam. "Orang tuduh saya kerana benci dengan saya terus memperjuangkan Islam. Tapi, walau apapun, asal kita ini berada pada landasan yang benar, Allah tetap bantu kita dengan kebenaran. "Alhamdulillah, saya bersyukur kepada Allah SWT dengan keputusan itu," katanya. Menurut Nik Aziz, beliau juga tidak akan mengambil tindakan undang-undang terhadap pihak yang cuba menimbulkan masalah kepada pentadbiran PAS Kelantan diterajuinya. "Soal menantu saya nak ambil tindakan itu dia punya pasal. Saya tidak bercadang nak ambil apa-apa tindakan balas, cukuplah mereka insaf dan kesal dengan perbuatan itu," katanya. Semalam, SPRM membuat keputusan menutup kes membabitkan Nik Abdul Aziz yang sebelum ini didakwa menerima wang tajaan RM65,000 untuk mengerjakan haji tahun lalu. sumber berita:MALASIA KINI

16 December 2010

Perancis jadi tuan rumah persidangan anti Islam pertama di Eropah

Paris, ibu kota Perancis akan menjadi tuan rumah pertama satu persidangan memerangi penyebaran Islam di Eropah yang bakal diadakan pada 18 Disember nanti. Persidangan tersebut dijangka akan dihadiri oleh pemimpin-pemimpin kanan beberapa pertubuhan dan tokoh-tokoh tertentu dari seluruh Eropah bagi membincangkan mengenai permusuhan mereka dengan Islam. Sebagai langkah menghadapi kecaman peserta persidangan tersebut, beberapa pihak telah melakukan kempen dan forum menerusi internet (laman sosial) mendesak agar pihak kerajaan campur tangan dan melarang majlis tersebut. Dalam salah satu forum, kelompok yang berkempen untuk menghalang dari berlangsungnya persidangan tersebut berkata “Ini merupakan sebuah persidangan yang secara jelasnya bersifat rasis, tidak bersembunyi di sebalik sesuatu untuk menyatakan permusuhan mereka terhadap Islam dan serangan terhadap sebarang simbol berkaitan Islam. Tujuan persidangan tersebut untuk memerangi keganasan Islam. Ia adalah sebuah usaha untuk menambahkan lagi bara kebencian terhadap Islam dan umat Islam.” Persidangan tersebut diselenggarakan oleh organisasi yang menggunakan nama “fighting Islamization” dari Mass Identity, iaitu sebuah kumpulan pemuda yang mempunyai hubungan rapat dengan sayap kiri Front Nasional Perancis yang banyak mengutarakan slogan permusuhan terhadap kaum imigran, khususnya orang Islam. Laman web Islamonline turut melaporkan bahawa “gabungan menentang Islamophobia telah menghantar mesej kepada pertubuhan Hak Asasi Manusia di Perancis agar sama-sama menandatangani bantahan menuntut persidangan tersebut supaya dibatalkan oleh kerajaan. From:UMMATAN WASATAN.NET

09 December 2010

Bahasa Arab popular di Amerika

WASHINGTON 8 Dis. - Bahasa Arab menjadi bahasa asing paling berkembang dan diminati di kalangan pelajar universiti di Amerika Syarikat (AS) dengan jumlah pelajar mendaftar mengikuti kursus bahasa itu meningkat lebih 46 peratus pada tahun lalu berbanding 2006, menurut satu kajian yang dikeluarkan hari ini. Selepas bahasa Inggeris, bahasa Arab berada di tangga kelapan mengatasi bahasa Latin dan Rusia paling diminati di kalangan pelajar AS, bahasa yang telah 22 kali disusun oleh Persatuan Bahasa Moden (MLA) sejak 1958. Bahasa lain yang mencatat peningkatan berganda ialah bahasa Korea yang meningkat lebih 19 peratus, China (18.2 peratus), bahasa isyarat Amerika (16.4 peratus) dan bahasa Portugis (11 peratus). Tetapi bahasa Sepanyol kekal menjadi bahasa popular di kalangan pelajar universiti AS selepas bahasa Inggeris dengan 865,000 pelajar mendaftar mengikuti pengajian bahas itu, meningkat lima peratus sejak 2006. Ia diikuti bahasa Perancis dengan pendaftaran pelajar berjumlah 216,000 orang, meningkat lima peratus dan Jerman dengan 96,000 pelajar, meningkat kira-kira dua peratus berbanding 2006. Pelajar yang mendaftar mengikuti bahasa Rusia pula meningkat dari 24,000 pada 1980 kepada hampir 45,000 orang pada 1990 ketika Kesatuan Soviet berpecah. Lima tahun kemudian, jumlah pelajar yang mengikuti bahasa Rusia kembali merosot kepada kira-kira 25,000 orang. Jumlah pelajar yang mendaftar kursus bahasa Arab telah meningkat daripada 5,500 pada 1998 - ketika al-Qaeda mengaku mengebom Kedutaan AS di Nairobi dan Dar-es-Salaam yang mengorbankan ratusan jiwa, melonjak kepada 10,584 orang pada 2002, setahun sebelum Amerika mengetuai penaklukan ke atas Iraq, dan jumlah itu terus meningkat tahun ini kepada 35,000 pelajar. Kajian itu dibuat berdasarkan pendaftaran kelas bahasa di 2,514 kolej dan universiti di AS yang mewakili 99 peratus institusi pengajian tinggi yang menawarkan pengajian bahasa di negara ini, kata laporan tersebut. - AFP Sumber:Utusan Online

07 December 2010

Zionis kuasai White House, Wall Street, Kongres dan Hollywood

Wartawan veteran White House yang pernah bertugas dengan lapan orang presiden Amerika Syarikat yang dipecat kerana mengeluarkan kenyataan pedas mengenai Israel mengesahkan bahawa Zionis berjaya menentukan sepenuhnya dasar luar negara dan keputusan-keputusan penting yang diambil oleh Washington. Menurut Helen Thomas, Israel tidak pernah dikritik di Amerika Syarikat disebabkan pegawai-pegawai tertinggi yang menguasai White House, pejabat kehakiman dan lembaga-lembaga penting dikuasai sepenuhnya oleh Zionis Yahudi. “Saya boleh menyatakan siapa pun presiden AS, tapi saya tidak boleh menyentuh Israel yang menguasai kepentingan di Tebing Barat,” kata Helen Thomas. Bekas wartawan White House yang berusia 90 tahun itu menjelaskan, “”Kongres, Wall Street, White House, dan Hollywood, dimiliki oleh Zionis. Tidak ada pertanyaan, menurut pendapat saya.” Kelompok Zionis Yahudi dalam ulasan balas menyifatkan Helen Thomas “tidak adil dan fanatik” dan mereka ikut mengeluarkan kecaman terhadap kenyataan yang dianggap melampau dan celupar itu. Maklumat sepenuhnya sila KLIK

Kepelbagaian budaya bukan penghalang

PUTRAJAYA 7 Dis. - Datuk Seri Najib Tun Razak berkata, kepelbagaian budaya, keturunan, agama dan adat resam tidak menjadi penghalang bagi setiap rakyat untuk merasai nikmat kehidupan dalam sebuah negara tanpa rasa wujud perbezaan besar yang boleh mencetuskan konflik. Perdana Menteri berkata, malah, mereka menjadi sumber kekuatan yang menjadi kebanggaAn negara yang seterusnya mencorakkan masyarakat agar hidup dalam muafakat dan harmoni. Katanya, ini adalah maksud yang dibawa oleh tema sambutan Maal Hijrah pada tahun ini iaitu 1Malaysia 1Ummah. "Kekuatan inilah yang akan memacu ke arah pembentukan 1Ummah yang bergerak seiring, berdiri sama tinggi dan duduk sama rendah di samping hidup saling bantu membantu antara satu sama lain. "Semoga umat Islam akan menjadikan peristiwa hijrah ini sebagai panduan untuk meningkatkan lagi keimanan dan ketakwaan kepada Allah, " katanya dalam perutusan pada buku cenderamata majlis perhimpunan sambutan Ma'al Hijrah peringkat Kebangsaan 1432H/2010M di Pusat Konvensyen Antarabangsa Putrajaya (PICC) di sini, hari ini. - Bernama

01 December 2010

سلامة تاهون بارو اسلام: كل عام وانـتم بخير

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته Welcome to the new lunar year of Hijrah 1432. Next week shall be the first day of Muharram, the first month of the Islamic calendar. It is one of the four sanctified months (Dzul-Qa‘edah, Dzul-Hijjah, Muharram, and Rajab) that Allah has gazetted (At-Tawbah: 36). The practices (as encouraged by Muslim scholars) of this time is to recite this end-of-year prayer/supplication/do‘a at the end of ‘Asr time, just before Maghrib, preferably 3 times: By the time the reciting of the do‘a has ended, it should be Maghrib, and therefore the Azan (the prayer call) is performed. After the Azan and the Azan’s do‘a, then it is encouraged to recite this beginning-of-year do‘a (also preferably 3 times) followed by the Maghrib prayer:

27 November 2010

600,000 mati akibat asap rokok

PARIS 26 Nov. - Hampir 600,000 orang yang tidak merokok, dengan satu pertiga daripada mereka kanak-kanak, meninggal dunia setiap tahun akibat menyedut asap rokok daripada mereka yang mengamalkan tabiat itu. Angka itu diperolehi daripada kajian pertama yang diadakan di seluruh dunia mengenai kesan asap rokok ke atas golongan bukan perokok. Berlainan dengan penyakit 'gaya hidup' yang banyak berpunca daripada pilihan individu, mangsa yang dikenali sebagai perokok pasif itu menanggung akibat daripada tabiat merosakkan kesihatan yang diamalkan oleh orang lain, terutamanya ahli keluarga. Di kalangan bukan perokok di seluruh dunia, 40 peratus kanak-kanak, 35 peratus wanita dan 33 peratus lelaki terdedah kepada asap rokok pada 2004, tahun terakhir di mana data boleh didapati di kesemua 192 negara yang terlibat dalam kajian itu. Apabila ditambah kepada 5.1 juta kematian melibatkan perokok aktif, jumlah kematian akibat amalan merokok bagi 2004 melebihi 5.7 juta orang di seluruh dunia, menurut kajian itu. Hampir separuh daripada bilangan perokok pasif yang maut adalah wanita, manakala selebihnya terdiri daripada kanak-kanak dan lelaki dalam bilangan yang hampir sama, menurut kajian yang disiarkan hari ini dalam jurnal perubatan Britain, The Lancet. Kira-kira 60 peratus kematian itu disebabkan penyakit jantung, manakala 30 peratus lagi akibat jangkitan paru-paru, dan bakinya disebabkan asma dan kanser paru-paru. Keseluruhannya, kematian akibat menjadi perokok pasif menyamai satu peratus daripada kematian di seluruh dunia pada 2004. Kematian orang dewasa akibat menyedut asap rokok orang lain adalah hampir sama di semua negara tidak kira negara miskin atau kaya. Namun bagi kanak-kanak, kemiskinan menjadikan keadaan bertambah buruk, menurut kajian itu. Misalnya di Eropah yang berpendapatan tinggi, nisbah kematian orang dewasa berbanding kanak-kanak adalah sebanyak 35,388 berbanding 71. Nisbah di Afrika hampir terbalik iaitu 9,514 kematian orang dewasa berbanding 43,375 kematian kanak-kanak. - AFP

23 November 2010

ยุคเสื่อมจริยธรรม นักการเมืองความน่าเชื่อถือตกต่ำที่สุด คนจะฟังกลุ่มเสื้อเหลืองเสื้อแดงมากกว่า

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้จัดงาน “สัปดาห์ส่งเสริมจริยธรรมแห่งชาติ ประจำปี 2553 ” โดยมีการสัมมนาวิชาการ เรื่อง “ฟื้นจริยธรรม ทางออกของสังคมไทย” เพื่อมุ่งเน้นให้สังคมไทยตื่นตัวกับคำว่าจริยธรรม ที่กำลังเสื่อมโทรมในสังคมไทย เมื่อสังคมประสบวิกฤตรอบด้าน วันนี้ ทุกภาคส่วนเรียกหา ”จริยธรรม” เพื่อหวังหาทางออก !!! ศาสตราจารย์ ดร.ลิขิต ธีรเวคิน นักวิชาการรัฐศาสตร์ และราชบัณฑิต กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้จริยธรรมในสังคมตกต่ำ เกิดจากระเบียบการเมืองระดับโครงสร้างนั้นมีปัญหา นักปรัชญาโบราณ เคยกล่าวไว้ว่าในสังคมที่สงบสุขนั้นต้องมีเสรีภาพ สังคมจะมีความเป็นปึกแผ่น แต่หากสังคมไม่มีเสรีภาพ ก็จะไม่มีความเสมอภาค และสุดท้ายจะไม่มีความเป็นหนึ่งเดียว ที่ใดที่ไม่มีภราดรภาพอย่าหวังจะมีอะไรที่ทำตามกฎเกณฑ์ คนทำชั่วจะได้ดี แต่คนทำดีไม่ได้ดี จึงเป็นที่มาของ ความแตกแยกในสังคม หาความสามัคคีไม่ได้ ที่มีการพูดกันมากคือนิติรัฐหรือ Rule of Law นั้นไม่ใช่แค่ทุกคนต้องเคารพกฎหมายเท่านั้น แต่กฎหมายนั้นต้องถูกสร้างด้วยความชอบธรรมด้วย เมื่อไหร่ที่กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยวสังคมจะอยู่อย่างลำบาก ปัญหาด้านจริยธรรมเกิดขึ้นเพราะระเบียบการเมืองเกิดความสับสน แม้แต่ระบบประชาธิปไตยในวันข้างหน้าของไทย ยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด " วันนี้โครงสร้างการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสังคมเกิดวิกฤตจริยธรรม มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมมหาศาล ในสายตาประชาชนนักการเมืองมีความน่าเชื่อถือตกต่ำที่สุด การประชุมรัฐสภาที่จะเกิดขึ้นจะไม่มีใครฟัง ไม่มีใครไปทำให้ความเชื่อถือตกต่ำ แต่นักการเมืองทำตัวกันเอง คนจะฟังกลุ่มเสื้อเหลืองเสื้อแดงมากกว่า ขณะเดียวกันองค์กรทางการเมืองอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็เสื่อมลงทั้งหลักการและ จริยธรรม ถ้าแก้ในจุดที่เป็นโครงสร้างการเมืองไม่ได้ก็ไม่อาจสร้างจริยธรรมในสังคม ได้” ดร.ลิขิต กล่าว นายณรงค์ โชควัฒนา นักวิชาการและนักธุรกิจอิสระ กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ระดับจริยธรรมสังคมตกต่ำ มาจากนักการเมืองผู้มีอำนาจ เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ ออกกฎหมาย บังคับใช้กฎหมายขาดจริยธรรม เป็นวิกฤตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้มีอำนาจต้องเป็นคนที่เข้ามาแก้ไขปัญหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไม่แก้ไขแล้วยังสร้างปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งคนของตัวเองได้เป็นใหญ่ข้ามหัวคนดี ทำให้ ข้าราชการดีๆหมดกำลังใจ ไม่คิดทำงานเพื่อประเทศชาติ มุ่งแต่รับใช้คนที่มีอำนาจ ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอธิปไตยต้องลุกขึ้นมาเป็นเจ้าของประเทศ อย่าเป็นเจ้าของแค่ไม่กี่วินาทีตอนหย่อนบัตรเลือกตั้ง แม้แต่ประเทศอินเดียซึ่งมีคนจนมากกว่า ชาวอินเดียไปรับเงินแต่ไม่เลือกเพราะเขาสามารถแยกแยะออกได้ระหว่างบุญคุณส่วนตัวกับเรื่องประเทศ แต่คนไทยยังมองว่าเป็นเรื่องบุญคุณเมื่อนักการเมืองให้เงินมาต้องไปกากบาทให้เขาเป็นการตอบแทน แต่ไม่รู้ว่ากำลังยกบ้านเมืองให้นักการเมืองไปโกงกิน รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ ประธานศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม กล่าวว่า มีหลายปัจจัยที่ทำให้ระดับจริยธรรมในสังคมตกต่ำลง ซึ่งทำให้มีคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการถูกหล่อหลอมประเพณีความเชื่อที่สืบทอดกันมายาวนาน โดยผ่านคำพังเพยต่างๆ เช่น ให้เอาหูไปนา หรือรู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี คำกล่าวเหล่านี้ล้วนสอนให้คนไม่สนใจสังคม ไม่ยุ่งกับคนอื่นเห็นความเดือดร้อนของผู้อื่นเป็นเรื่องไม่สำคัญ การห่างไกลจากสถาบันศาสนาและสถาบันครอบครัว ทำให้เยาวชนห่างไกลจากการถูกปลูกฝังจริยธรรมที่ดี นอกจากนี้สื่อมวลชนเอง มีส่วนทำให้จริยธรรมของคนในสังคมตกต่ำลง เมื่อเด็กในยุคนี้ไม่สนใจความเป็นไปของสังคมก็จะจับกลุ่มพูดคุยแต่กับเพื่อนตัวเองในโลกโซเชียลมีเดีย เมื่อมีคนที่ไม่ใส่ใจความทุกข์ร้อนของสังคมมากเข้าสังคมนี้ก็กลายเป็นสังคม ที่ป่วย “สังคมกรุงเทพ วันนี้ เหมือนเครื่องบินที่บินไปโดยไม่มีเรดาห์ หรือเรือที่ไม่มีหางเสือ ผู้โดยสารที่อยู่ในสังคมก็เดินทางไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าจุดหมายอยู่ตรงไหน คนดีในสังคมไทยกลายเป็นคนแปลกประหลาด ไม่มีพื้นที่จะยืนเพราะไม่รวย ไม่ดัง ไม่มีตำแหน่งสูงเท่าคนไม่ดีที่มีข่าวปรากฏในหนังสือพิมพ์ มันกลับตาลปัตรกันหมด จริยธรรมคุณธรรมเป็นเรื่องถูกเบียดไปอยู่ชายขอบ” รศ.จุรี กล่าว นายพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร บรรณาธิการอำนวยการ บริษัท มติชน จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าจริยธรรมต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา ซึ่งเราทุกคนรู้ต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นและรู้ทางออกอยู่แล้ว แต่ทุกวันนี้ที่สังคมไทยยังเกิดปัญหามากมาย เพราะทุกคนไม่นำเอาไปปฎิบัติอย่างถูกวิธี ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง ทำให้คุณธรรม จริยธรรมของสังคมเสื่อมโทรมลง การปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคมต้องยึดมั่นนำไปปฎิบัติ สังคมไทยเกิดเหตุการณ์ร้ายๆซ้ำซาก ทุกฝ่ายต้องร่วมมือร่วมใจกัน ทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในการฟื้นฟูสภาพจิตใจที่ถูกทำลาย ให้รู้จักคำว่าคุณธรรม จริยธรรม คงเป็นทางออกที่ดี แต่หากยังไม่มีการพัฒนา มัวแต่คิดเอาตัวรอดฝ่ายเดียว สังคมไทยก็ยิ่งย่ำแย่ลงเรื่อยๆ การปลูกฝังเยาวชนคนรุ่นใหม่ต้องเริ่มกระตุ้นสถาบันครอบครัว ก่อนขยายไปสู่สถาบันอื่นๆ เพราะสถาบันครอบครัวถือเป็นสถาบันแรกที่สามารถปลูกฝังจิตสำนึกและสิ่งดีงามแก่เด็ก เมื่อเราปูทางไว้ดีตั้งแต่แรกเริ่ม ก็จะส่งผลให้สภาพสังคมมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน จากการร่วมฟังสัมมนาในครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมเสวนาทั้ง 4 ท่าน มีความเห็นตรงกัน ถึงเรื่องจริยธรรมสังคมตกต่ำลง สาเหตุเกิดจากการปลูกฝังของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก ควรปลูกฝังลูกหลานในทางที่ถูกที่ควรเพื่อให้เด็กจำไปจนโต และการที่นักการเมืองใช้อำนาจต่างๆมาลิดรอนความถูกต้องของประชาชน อาจทำให้ประชาชนเกิดการไม่ไว้วางใจรัฐบาลและเคารพกฎหมายบ้านเมือง สังคมเสื่อมลง มีแต่คนเลวที่คดโกงบ้านเมือง คนดีกลายเป็นคนชั่ว คนชั่วกลายเป็นคนดีทำให้สังคมไทยไม่หน้าอยู่อีกต่อไป ฉะนั้นคนไทยทุกคนควรหันมาร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น ขอบคุณข้อมูลจาก มติชนออนไลน์

15 November 2010

Berbasikal tunai haji

IMTIYAZ (kiri) dan Nathim bergambar bersama basikal yang mereka naiki dari Cape Town semasa tiba Mekah. - Agensi JEDDAH 14 Nov. - Imtiyaz Ahmad Haron dan Nathim Cairncross meninggalkan Cape Town, Afrika Selatan pada Februari lalu dan tiba di Mekah untuk menunaikan haji selepas berbasikal ke kota suci ini selama sembilan bulan. Kedua-dua mereka menempuh 12 negara dalam perjalanan sejauh beribu-ribu kilometer sebelum tiba di sempadan Arab Saudi pada penghujung bulan lalu, tiga minggu lebih awal sebelum ibadat haji bermula. Imtiyaz, 25, dan Nathim, 28, merancang pengembaraan haji mereka ini sejak Disember tahun lalu tidak lama selepas mendapat inspirasi daripada cerita perjalanan jemaah-jemaah haji sebelum mereka. "Jika saya bekerja keras untuk mencapai sesuatu, di penghujungnya ia adalah lebih manis dan lebih dihargai. Selepas sembilan bulan berbasikal merentasi Afrika dan Asia Barat, saya sangat menghargai pengalaman ini," kata Nathim kepada wartawan Al-Jazeera. Perjalanan mereka bermula pada pagi 7 Februari sewaktu hari hujan dari sebuah masjid Cape Town, di mana hampir 500 orang berkumpul untuk mengadakan majlis doa selamat buat mereka. Katanya, mereka bukan pengayuh basikal profesional, namun menjalani latihan fizikal dengan meningkatkan senaman iaitu mendaki gunung, berlari di pantai dan berenang kira-kira dua bulan sebelum bertolak. Imtiyaz berkata, rakan-rakan mereka yang lain membantu merancang perjalanan mereka dan khidmat jabatan lalu lintas Afrika Selatan, menyelidik keperluan visa. Doktor mendiagnosnya dan Nathim sebagai 'gila', katanya. ''Seolah-olah satu rahmat apabila menjejakkan kaki di Mekah dan tawaf mengelilingi Kaabah dengan ihram yang basah akibat hujan.'' tambahnya. - AGENSI Sumber: Utusan Online

Rumah di Syurga

Wanita Bicara Bersama FITI السلام عليكم ورحمة الله وبركاته Asyiah begitu menderita di dalam istana yang penuh dengan orang-orang yang bermaksiat sehingga dia menginginkan rumah di Surga) Abdullah bin Abbas menceritakan, pada satu hari Rasulullah saw. menjelaskan mengenai empat garis di atas tanah, lalu Rasulullah saw. bertanya, "Apakah engkau mengetahui garis ini garis apa ?" Maka para Shahabat pun menjawab, "Engkau lebih tahu wahai Rasulullah," maka Rasulullah saw. pun berkata, "sesungguhnya ini menggambarkan hanya ada empat wanita terbaik di dunia ini." Khadijah binti Khawalid, Fatimah binti Muhammad, Maryam binti Imran, dan Asyiah binti Mazahim (istri Fir'aun). Asyiah begitu lama menderita di bawah cengkraman Fir'aun yang kejam. Bersuamikan lelaki yang kejam tentu saja membuat siapapun wanita menjadi sangat menderita, walaupun kekejaman terhadap istri tidak digambarkan dalam kisah para Shahabiyah, (walau ada sebagian yang menceritakan bahwa akhirnya Asyiah syahid karena dibunuh dengan cara menariknya dengan empat ekor kuda dari segala penjuru atas perintah Fir'aun yang kejam). Namun selama dalam kekuasaan Fir'aun, sikap kejamnya tidak ditunjukan pada Asyiah, bahkan Asiah membujuk Fir'aun untuk menerima Musa kecil dalam penjagaannya padahal ketika itu sedang diberlakukan undang-undang baru yaitu membunuh bayi lelaki di Mesir. Namun kecintaan Fir'aun kepada Asyiah membuatnya mampu untuk bukan hanya membawanya namun juga memeliharanya, dan tanpa disadari Firaun, seorang musuh utamanya malah tinggal dalam rumahnya. Penderitaan Asyiah yang bersuamikan berhala membuatnya menjadi istri yang taat diam di dalam rumah walaupun suaminya sangat kejam, tidak ada sedikitpun keinginan baginya untuk membalas kekejaman itu dengan memboikot, membentak-bentak, marah-marah ataupun kabur dari rumah, semua kekejaman yang dilakukan suaminya di depan matanya tiada terkira dilalui Asyiah dengan sabar, bertahun-tahun terperangkap dalam istana yang dingin tidak ada ketenangan dan keberkahan menyelimutinya. Namun ditengah kepediahan Asyiah bersuamikan Fir'aun, Islam dan taqarrubilalallah-nya begitu membuatnya menjadi sosok tegar seorang wanita yang sangat beriman, sampai akhirnya tiada yang diminta kecuali satu, “Ya Allah, bangunkan aku rumah di Surga”. Subhanallah permintaannya terlihat sangat sederhana namun begitu dalam dan penuh makna yaitu rumah di Surga, karena rumah di dunia rasanya sudah seperti di Neraka, dan wajarlah bila kesabaran dan kekuatan untuk memeluk erat Islam ditengah kekejaman Fir'aun menjadikan Asyiah sebagai salah satu wanita yang hidup di bukan era Rasulullah saw. Namun diakui sebagai salah satu wanita unggul selain Siti Maryam, Khadijah dan Fatimah. Sanggupkah kita meniru Asyiah tetap taat kepada Allah dan tidak meninggalkan suami kita walau suami kita sekejam Fir’aun. Masya Allah, masih banyak yang harus kita pelajari dari para wanita mulia pendahulu kita. Wallahuallam. sumber eramuslim.com

12 November 2010

ผลวิจัยปี 52 พบคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 94 นาทีต่อวัน

จุฬาฯ 12 พ.ย.- คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ ทีเคปาร์ค เผยผลวิจัยการอ่านของคนไทยปี 2552 พบว่าเฉลี่ยอ่าน 94 นาทีต่อวัน เป็นเด็กและเยาวชน อาชีพข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ อ่านมากที่สุด ขณะที่อายุ 49 ปีขึ้นไป อาชีพภิกษุ แม่บ้าน ทหารเกณฑ์ อ่านน้อยที่สุด ด้าน "สมพงษ์ จิตระดับ" ระบุผลวิจัยนี้ตอบโต้ข้อมูลเดิมระบุคนไทยอ่าน 8 บรรทัดต่อปี รศ.ดร.วรรณี แกมเกตุ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัยและคณะ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง "การศึกษาสถานการณ์การอ่านและดัชนีการอ่านของคนไทยปี 2552" จัดโดยสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (ทีเคปาร์ค) ร่วมกับคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ พบว่า สถานการณ์การอ่านของคนไทย จากการวิเคราะห์สอบถามกลุ่มตัวอย่าง 5,865 คน และการจัดประชุมกลุ่มย่อย 156 คน และศึกษากรณีผู้ที่มีนิสัยการอ่านสุดโต่งทั้งกลุ่มที่ชอบอ่านและไม่ชอบอ่านอีก 191 คน ครอบคลุม 13 จังหวัด ทุกภูมิภาคของไทยพบสถิติสะท้อนพฤติกรรมการอ่านของคนไทยระบุว่า คนไทยใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละ 94 นาทีต่อวัน โดยเด็กและเยาวชนใช้เวลาว่างในการอ่านมากที่สุด ขณะที่คนอายุ 49 ปีขึ้นไป ใช้เวลาว่างอ่านน้อยที่สุด อาชีพข้าราชการใช้เวลาว่างอ่านหนังสือมากที่สุด ส่วนอาชีพอื่นๆ เช่น ภิกษุ แม่บ้าน ทหารเกณฑ์ใช้เวลาว่างอ่านน้อยที่สุด ด้านที่ตั้งของถิ่นที่อยู่ที่แตกต่างกันพบว่า ผู้ที่อยู่ในเขตเมืองมีดัชนีการอ่านที่มากกว่าผู้ที่อยู่ในเขตนอกเมือง ส่วนเด็กและเยาวชนที่ไม่อ่านหนังสือมีสาเหตุจากความขี้เกียจ แม้จะมีหนังสือสถานที่ให้อ่านก็ไม่อยากอ่าน รายละเอียดของกลุ่มตัวอย่างบางส่วนที่ไม่ได้อ่านหนังสือเลย จนถึงอ่านทุกวัน โดยเฉลี่ยอ่านประมาณ 4 วันต่อสัปดาห์ ที่อายุน้อย กว่า 20 ปีอ่านน้อยที่สุด เฉลี่ยประมาณ 3-4 วันต่อสัปดาห์ การศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีอ่านมากที่สุดเฉลี่ยประมาณ 5-6 วันต่อสัปดาห์ ส่วนระดับประถมศึกษาน้อยที่สุดเฉลี่ยประมาณ 3-4 วันต่อสัปดาห์ อาชีพรับราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและเอกชน มีจำนวนเรื่องที่อ่านใน 1 สัปดาห์มากที่สุดเฉลี่ยประมาณ 5 วันต่อสัปดาห์ ส่วนอาชีพ รับจ้าง และเกษตรกรน้อยที่สุดเฉลี่ยประมาณ 3 วันต่อสัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างใช้เวลาในการอ่านเฉลี่ยต่อวันอยู่ระหว่าง 0-18 ชั่วโมงต่อวัน โดยเฉลี่ยประมาณ 1.568 ชั่วโมงต่อวัน หรือประมาณ 94นาทีต่อวัน อายุน้อยกว่า 20 ปีมีเวลาในการอ่านเฉลี่ยต่อวันมากที่สุดเฉลี่ยประมาณ 115 นาทีต่อวัน ส่วนอายุมากกว่า 49 ปีขึ้นไปน้อยที่สุดเฉลี่ยประมาณ 75 นาทีต่อวัน การศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีมีเวลาในการอ่านเฉลี่ยต่อวันมากที่สุดเฉลี่ยประมาณ 116 นาทีต่อวัน ส่วนระดับประถมศึกษาน้อยที่สุดเฉลี่ยประมาณ 76 นาทีต่อวัน อาชีพนักเรียน นิสิต นักศึกษา และผู้ว่างงานมีเวลาในการอ่านเฉลี่ยต่อวันมากที่สุดเฉลี่ยประมาณ 113 นาทีต่อวัน ส่วนอาชีพ รับจ้าง และเกษตรกรน้อยที่สุดเฉลี่ยประมาณ 66 นาทีต่อวัน ค่าใช้จ่ายการอ่านมีตั้งแต่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการอ่านเลย จนถึง 9,010 บาท โดยเฉลี่ยประมาณ 523 บาท แยกเป็น อายุ 20-29 ปีมีค่าใช้จ่ายในการอ่านต่อเดือนมากที่สุดเฉลี่ยประมาณ 589 บาท ส่วนอายุมากกว่า 49 ปีขึ้นไปน้อยที่สุดเฉลี่ยประมาณ 426 บาท การศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีมีค่าใช้จ่ายในการอ่านต่อเดือนมากที่สุดเฉลี่ยประมาณ 1,015 บาท ส่วนระดับประถมศึกษาน้อยที่สุดเฉลี่ย 287 บาท อาชีพรับราชการมีค่าใช้จ่ายในการอ่านต่อเดือนมากที่สุดเฉลี่ยประมาณ 670 บาท ส่วนอาชีพ รับจ้าง และเกษตรกรน้อยที่สุดเฉลี่ยประมาณ 301 บาท เมื่อพิจารณาถึงการอ่านคล่องหรือไม่พบว่า อายุมากกว่า 49 ปีขึ้นไปมีความคล่องแคล่วในการอ่านน้อยที่สุด การศึกษาระดับประถมมีความคล่องแคล่วในการอ่านน้อยที่สุด อาชีพ รับจ้าง เกษตรกร ภิกษุ แม่บ้าน และทหารเกณฑ์มีความคล่องแคล่วในการอ่านน้อยที่สุด รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงผลการวิจัยครั้งนี้ว่า ผลวิจัยที่พบว่าการอ่านของคนไทยต่อวัน 94 นาที เป็นประโยชน์และท้าทายและตอบโต้ข้อมูลเดิมที่มีข้อมูลว่าคนไทยอ่านเฉลี่ย 8 บรรทัดต่อปี ซึ่งเป็นประโยชน์ในแง่การกระตุ้นเชิงนโยบาย ถ้าปีต่อไปทำงานวิจัยนี้ต่อ แต่เน้นเชิงคุณภาพและรายละเอียดมากกว่านี้ เราจะได้สถานการณ์การอ่านของคนไทยที่ชัดเจนขึ้น เช่น ความสามารถอ่านคล่องหรือไม่คล่องจะสะท้อนถึงนโยบายการเรียนการสอน.-สำนักข่าวไทย

10 November 2010

Dari Mana Asal Kerudung Michelle Obama?

Ibu Negera Michelle Obama tampak mengenakan kerudung(Tudung)saat mengunjungi Masjid Istiqlal, Jakarta, Rabu (10/11/2010). Laporan Wartawan Tribunnews.com, Willy Widianto JAKARTA, KOMPAS.com — Tak hanya Presiden Amerika Serikat (AS) Barack Obama yang mampu menyedot perhatian publik dalam kunjungan singkatnya di Indonesia. Istrinya, Michelle Obama, pun dengan cerdas melalui penampilannya berhasil mencuri perhatian besar warga Indonesia. Michelle yang saat tiba di Indonesia mengenakan long dress warna coklat tua pada kunjungan ke Masjid Istiqlal membuat kejutan. Penampilannya dengan blazer dipadu celana panjang warna hijau sebenarnya penampilan biasa bagi ibu negara. Namun yang mengejutkan, Michelle ternyata menambahkan kerudung motif hitam-putih untuk menutupi rambutnya selama berkunjung ke Masjid Istiqlal mendampingi suaminya. Kerudung Michelle pun langsung menjadi perbincangan hangat di situs mikrobloging, Twitter. Tweeps atau pengguna Twitter ada yang menyebut, Michele diberi kerudung saat masuk ke Istiqlal. Ternyata dugaan itu meleset. Imam Besar Masjid Istiqlal Ali Mustafa Yaqub yang mendampingi Obama-Michelle berkunjung ke Istiqlal mengatakan bahwa, begitu turun dari mobil, Michelle sudah memakai kerudung. Artinya, kerudung tersebut mungkin sudah dipersiapkan Michelle sebelum rombongannya masuk ke Istiqlal. "Sejak di mobil, (Michelle) sudah berpakaian seperti itu (berkerudung)," ujar Ali Mustafa saat ditemui di Masjid Istiqlal, Jakarta, Rabu (10/11/2010), seusai menerima kunjungan tersebut. Menurut Ali, ia juga menduga bahwa first lady Amerika Serikat tersebut sudah menutup auratnya dengan kerudung sejak meninggalkan Hotel Shangri-La, tempat ia menginap. Dalam kunjungan selama 15 menit tersebut, Obama dan Michelle melihat-lihat masjid terbesar di Asia Tenggara itu, berikut beduk besar yang dimiliki Istiqlal. Seusai berkunjung ke Istiqlal, Michelle langsung menuju Bandara Halim Perdana Kusuma dan terbang ke Washington. Adapun Obama memberikan kuliah umum di Universitas Indonesia. Sumber: Tribunnews.com

ศธ.เพิ่มยุทธศาสตร์กศ.ชายแดนภาคใต้

นายกมล รอดคล้าย รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ปีนี้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดตั้งคณะกรรมการบริหารการศึกษาชายแดนภาคใต้ โดยมีตนเป็นประธานคณะกรรมการ มีผู้ตรวจราชการกระทรวงเป็นผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ และมีสำนักบริหารยุทธศาสตร์ที่ 12 จังหวัดยะลา เป็นฝ่ายเลขานุการ โดยศธ.ได้กำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมายขึ้นมาใหม่จากเดิม 5 ยุทธศาสตร์ คือ 1.การพัฒนาคุณภาพ 2.โอกาสทางการศึกษา 3.การศาสนศึกษา หรืออิสลามศึกษา 4.การศึกษาเพื่อการมีอาชีพ และการมีงานทำ และ 5.การบริหารจัดการ โดยยุทธศาสตร์ที่กำหนดขึ้นใหม่มีดังต่อไปนี้ 1.การเพิ่มผลการสอบโอเน็ต ขึ้นร้อยละ 2 ซึ่งปีที่แล้วเราทำไม่สำเร็จ 2.ทำให้คนพูดภาษาไทยชัดเจนขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 60 3.ให้เด็กที่ตกหล่นทางการศึกษา ได้ศึกษาต่อในการศึกษาภาคบังคับจำนวน 9,500 คน 4.จัดสอบไอเน็ต หรืออิสลามศึกษา โดยจะสอบทั้งชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง 5.สร้างโรงเรียนปอเนาะต้นแบบให้ครบจำนวน 48 แห่ง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา 6.เปิดการสอนอิสลามแบบเข้มในโรงเรียนของรัฐจำนวน 350 โรงเรียน โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะทำโรงเรียนดีประจำตำบลให้ครบทุกตำบล 7.จัดชุมนุมลูกเสือมุสลิม โดยจะจัดเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศใกล้เคียงกันทั้งมาเลเซีย บรูไน และอินโดนีเซีย เพื่อตอบสนองการสร้างความเป็นพลเมืองที่ดี 8.ให้เด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้พูดได้ 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ส่วนที่เหลือจะเป็นภาษามลายูกลาง อาหรับ จีน หรือภาษาต่างประเทศอื่นๆ ตรงนี้เป็นจุดเด่นของภาคใต้ คือจะให้เด็กพูดภาษาอาเซียนได้ คาดว่าในสามจังหวัดชายแดนใต้น่าจะทำได้ เพราะเด็กพูดภาษาที่สามได้อยู่แล้ว 9.การฝึกอาชีพในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เพื่อที่จะให้เด็กมีมาตรฐานอาชีพในระดับสากลโดยอัตโนมัติ ซึ่งหากเด็กมีมาตรฐานอาชีพที่สูงขึ้นก็จะมีรายได้ที่สูงขึ้นตามไปด้วย

08 November 2010

Banjir Kg.Dato,Pattani:Rumah tinggal pelapit

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته "Malam itu saya tengah sembahyang magrib di rumah hujan lebat,didalam rumah saya berada bersama suami,air dan angin sangat kuat dibawah rumah air sampai dekat dada, ngeri sekali,belum pernah melihat lagi dalam hidup saya mujur cucu sempat bawa perahu membawa keluar menumpang ruang masjid diluar sana.Dua hari kemudian kembali semula hampir pingsan tinggal hanya beberapa keping bata bersama papan beberapa keping sekadar boleh duduk bahan kegunaan serta pakaian semua sapu bersih,saya ingin menyimpan rumah sekadar dapat berteduh sahaja" Tangisan Pn.Yoh Mat Ding,60 Thn. penduduk Kg.Dato' Daerah Yaring(Jamu)Wilayah Pattani yg.kehilang tempat tinggal dan harta hampir semuanya akibat bencana taufan maut depresyen pada 1 Nov.10 lalu. “คืนนั้นฉันกำลังละหมาดมักริบอยู่ที่บ้าน ฝนตกหนัก ในบ้านอยู่กันสองคนกับสามี น้ำและลมมาเร็วมาก บ้านมีใต้ถุนแต่น้ำเกือบถึงอก น่ากลัวมาก เกิดมาไม่เคยเห็น ดีที่หลานเอาเรือมารับทัน ต้องหนีไปอยู่ที่มัสยิดข้างนอก อีกสองวันเข้ามาดูบ้านแทบเป็นลม เหลือหลังคาไม่กี่แผ่นกับไม้กระดานในบ้านพอนั่งได้ ของใช้และเสื้อผ้าเสียหายหมด ฉันอยากให้ช่วยซ่อมแซมบ้านให้พออยู่ได้ก็พอแล้ว” เป็นเสียงเล่าปนสะอื้นย้อนถึงนาทีชีวิตของ เยาะ มะดิง คุณป้าวัย 60 ปี ชาวบ้านดาโต๊ะ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ที่ต้องสูญเสียบ้านและทรัพย์สินจนเกือบสิ้นเนื้อประดาตัวจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชั่นมฤตยูเมื่อคืนวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เยาะในวัย 60 ยังต้องดูแลสามีที่ชรากว่านางถึง 10 ปี และป่วยเป็นโรคปวดข้อเข่าจนทำงานไม่ได้ เมื่อต้องมาเผชิญกับวิกกฤติจากภัยธรรมชาติซ้ำเติมอีกเช่นนี้ ทำให้อาการของเขาทรุดลงไปอีก และยังต้องนอนอยู่บนไม้กระดานในบ้านที่แทบไม่เหลือความเป็นบ้าน เพราะมีแต่โครงไม้กับหลังคาอีกไม่กี่แผ่น ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะไปอาศัยนอนที่โรงเรียนตาดีกาประจำหมู่บ้าน เพราะมีเพื่อนบ้านอาศัยอยู่กันแออัดแล้ว หนึ่งสัปดาห์แห่งความโศกเศร้าและความสูญเสียจากภัยธรรมชาติที่กระหน่ำเข้าใส่บ้านดาโต๊ะ ถึงวันนี้ยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็น แม้จะมีพี่น้องประชาชน ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนนับพันเข้าไปช่วยเหลือ ให้กำลังใจ และบริจาคสิ่งของที่ขาดแคลน แต่ซากบ้านเรือนที่พังทลายยังคงตอกย้ำความรู้สึกลึกๆ ในใจของชาวบ้านดาโต๊ะทุกคน และน้ำยังคงท่วมขังอยู่อีกหลายแห่ง แวนีซะ สุหลง บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) ซึ่งเป็นลูกหลานชาวดาโต๊ะอีกคนที่ครอบครัวของเธอต้องรับความเสียหายจากพายุฝนและคลื่นลมที่พัดกระหน่ำ เธอเล่าว่าบ้านของเธอเหลือแต่หลังคาไม่กี่แผ่นเหมือนกัน ส่วนทรัพย์สินอย่างอื่นไม่มีเหลือ ต้องไปอาศัยบ้านญาติเป็นที่หลับนอน ส่วนอาหารก็อาศัยจากโรงเรียนตาดีกาของชุมชน “ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน มันทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ เห็นสภาพบ้าน สภาพตัวเองและเพื่อนบ้านที่เดือดร้อนทีไรช้ำใจทุกที ดีที่มีหน่วยงานต่างๆ และผู้ใจบุญบริจาคอาหาร น้ำดื่ม และเสื้อผ้ามาให้จำนวนมาก เพราะพวกเราไม่เหลืออะไรติดตัวกันเลย หยิบจับอะไรออกมาไม่ทัน เรื่องอาหารและน้ำดื่มเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ควรมีการบริหารจัดการในชุมชนให้ดีกว่านี้ ความช่วยเหลือจะได้ถึงมือผู้เดือดร้อนทุกคนอย่างทั่วถึง” แวนีซะ กล่าว

Banjir Kedah

PASANGAN pengantin baru, Noor Asrolizham Zakaria membawa isterinya Zuhainy Zulkifli dengan kereta sorong meredah banjir pada majlis perkahwinan mereka semalam di Langgar, Alor Setar, ketika Kedah dilanda banjir besar. - Foto Ramdzan Masiam Nov 7, 2010 9:12 am

02 November 2010

HADYAI:Banjir Terburuk didalam sejarah

Songkhla province and its business district Hat Yai have been hit by major flooding after 40-hour downpours that were continuing yesterday evening. The crisis is worse than the flooding that hit the province 10 years ago. "The situation in Hat Yai is worse than what happened 10 years ago, with this year's rainfall setting a record level, and with the Sadao reservoir and others full," said Mayor Phrai Phatthano. He said 100 flat-bed boats had been readied and water pumps were set up in the areas at highest risk, Wat Hai Yai Nai and Kimyong market. Residents in Hat Yai were fleeing upcountry from the heavily flooded urban areas in long queues of vehicles, causing traffic congestion in main thoroughfares. "It's chaos down here," said a female resident who had been stuck in the traffic jam. In Hat Yai Municipality, evacuation orders were at the ready ahead of floods expected to inundate the area further at about 10pm. Red flags were installed in busy areas in the evening to warn of the danger of flash floods. A large group of people heading to Sadao district from Hat Yai in three buses were brought to a halt by floodwater reaching half the height of the vehicles. Hospitals in Songkhla and 200 homes in Saba Yoi district were evacuated because of high floodwaters after days of downpours. The floodwater level in Na Thawi was 20 centimetres away from breaching the district hospital, where 80 patients had been moved to the second floor of a building, as 2-metre sandbag barriers surrounding the compound could collapse because of the strong currents, said Dr Suwat Viriyapongsukit, director of the hospital. The Television Pool is running news flashes and issuing warnings about floods and storms hitting seven Southern provinces on the Gulf of Thailand, including Songkhla. The next storm headed for the Southern region was expected to last from midnight to dawn, resulting in high tides and days of rainstorms, the Meteorology Department said. The storms, after moving across the region from the Andaman Sea, may cause smaller storms in the Gulf of Thailand that will bring more heavy rain to coastal provinces on the eastern side. "Residents living in areas at risk of storms are advised to store food, medicine and supplies for emergency use," the statement said. Patients and staff at Sadao Hospital were transferred to Hat Yai General Hospital, where medical supplies and liquid oxygen had been stored for use for another 14 days, at the direct order of the Public Health Ministry. Another measure ordered for Sadao Hospital was evacuation of patients in case of lengthy flooding and off-site medical services with support from other hospitals unaffected by the flooding. A villager in Sadao district, Thitiphorn Jai-ngarm, said rain began on Friday and continued, resulting in a 3-metre-high floodwater at her home. Power was turned off for safety reasons. "No agencies have given us help, and all we can do now is help ourselves," she said. In Saba Yoi district, 200 families whose homes were hit by 1-metre floods have been moved to higher ground. Their homes will be further inundated by water possibly reaching 2 metres and lasting for one or two days, local officials said. In Hat Yai, many schools are closed and low-lying areas along canals are at risk of flooding because of the swelling waterways. Residents were advised to move their belongings to high ground and stay on alert for emergency evacuation to four locations prepared for them, Mayor Phrai said. A flood in Ban Thung Lung in tambon Phatong, 30-50cm in height, forced residents to carry away their belongings while building makeshift dykes to prevent water entering their homes. An urgent warning later predicted flooding throughout Hat Yai by 9pm, Phrai said. In Nakhon Si Thammarat, two people, Nit Chinnawong and Surin Riyaphan, drowned, bringing flood fatalities across the country to 105, including three foreigners, as reported by the Department of Disaster Prevention and Mitigation. The three unidentified foreigners were a Burmese, a Cambodian and a Dutchman. In Phuket, a mudslide warning for 10 locations was issued while monitoring at those locations was underway. The areas at greatest risk are Ban Kalim, Ban Mai Riab, Ban Nua, Ban Chid Cheo and Wat Mai. In Pattani, floods on main streets in urban areas caused heavy traffic congestion, and a warning was issued for fishing trawlers against going offshore. About 2,650 families in Satun have suffered days of heavy rain, while 100 families in two districts in Narathiwat have faced chest-level floods From:THE NATION

01 November 2010

Busuk pun manusia, Akibat letusan Merapi

KOMPAS.COM/KRISTIANTO PURNOMO Warga korban letusan Gunung Merapi tinggal di posko pengungsian Umbulharjo, Cangkringan, Sleman, DI Yogyakarta, Rabu (27/10/2010) malam. BOYOLALI, KOMPAS.com — Puluhan warga di Desa Sangup, Kecamatan Musuk, Boyolali, Jateng, pingsan akibat bau belerang pascaletusan Gunung Merapi, Senin (1/11/2010) sekitar pukul 10.10 WIB. Puluhan warga Desa Sangup yang pingsan itu langsung dibawa ke Pos Klinik Desa Karanganyar untuk mendapatkan perawatan. Menurut Yulianto (40), warga setempat, letusan Merapi itu menyebabkan bau belerang yang menyengat dengan suhu udara panas hingga membuat warga panik dan menyelamatkan diri ke tempat yang aman. Warga kemudian diungsikan ke lapangan Desa Karanganyar, Musuk, karena di tempat pengungsian sementara di Balaidesa Sangup itu bau belerang tercium sangat pekat. Pengungsi yang berasal dari Dusun Sudimoro, Beling, Ringin, Baturtuwo (Desa Sangup), dan Dusun Banyusri, Wonorejo, Wengen (Desa Mriyan), tersebut sebagian dievakuasi ke Lapangan Cepogo dan Pemkab Boyolali. Sementara itu, kondisi di wilayah Kecamatan Cepogo dan Musuk gelap karena hujan pasir dan abu vulkanik. Di Desa Sangup, Kecamatan Musuk, selain gelap juga terasa udara panas akibat letusan Merapi yang mengarah ke timur atau Boyolali dan Klaten. Setiyono, sesepuh warga setempat, mengatakan, warga di desa itu pingsan akibat bau belerang yang terasa pekat. Menurut Setiyono, mereka yang pingsan sudah dievakuasi ke Polides Karanganyar. "Desa ini kehabisan masker dan tidak ada alat bantu untuk pernapasan sehingga mereka pengungsiannya dipindahkan ke Desa Karanganyar yang lebih aman," katanya

27 October 2010

Berdoalah sebelum didoakan

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

13 October 2010

อุฎหิยะฮฺ: ความหมาย ความประเสริฐ และหุกม

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته เขียนโดย Abu Asybal ข้อกำหนดทางศาสนา อุละมาอฺมีทัศนะอุลามาอฺที่แตกต่างกันเกี่ยวกับหุกมของการเชือดอุฎหิยะฮฺ แต่อุละมาอฮฺส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นสุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺสำหรับผู้ที่มีความสามารถไม่ใช่วาญิบ ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีความสามารถจึงส่งเสริมให้เชือดอุฎหิยะฮฺทุกปี เพื่อออกจากพิสัยของการคิลาฟ นั่นคือทัศนะของอุละมาอฺที่ว่าวาญิบสำหรับผู้ที่มีความสามารถ (อัลมุจญ์มูอฺ 8/385, อัลมุฆนีย์ 9/435, อัลหาวีย์ 15/71, อัลบะดาอิอฺ 4/192-193, บิดายะฮฺ อัลมุจญ์ตะฮิด 1/348) เพราะตามรายงานหะดีษระบุว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ท่านรสูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมพำนักอยู่ที่มะดีนะฮฺ ท่านจะทำการเชือดอุฎหิยะฮฺทุกปี และไม่เคยละทิ้งมันเลยแม้แต่ปีเดียว ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่ประสงค์จะเชือดอุฎหิยะฮฺ เมื่อย่างเข้าเดือนซุลหิจญะฮฺ (ตั้งแต่วันที่ 1 – 10) ไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีความประสงค์จะเชือดอุฎหิยะฮฺทำการตัดหรือโกนผม ขนรักแร้ ขนลับ และตัดเล็บ อมมุสะละมะฮฺเล่าว่า ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า (( إذا دخلت العشر، وأراد أحدكم أن يضحي فلا يمس من شعره وبشره شيئاً )) “เมื่อย่างเข้างสิบวัน (แรกของเดือนซุลหิจญะฮฺ) และใครคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเจ้าประสงค์ที่จะเชือดอุฎหิยะฮฺ ดังนั้น เขาจงอย่าแตะต้อง (ตัดหรือโกน) ส่วนใดๆของเส้นผมหรือขนของเขาแต่อย่างใด” (มุสลิม, ชัรหฺเศาะหีหมุสลิม 4/119) และในอีกรายงานหนึ่งระบุว่า (( من كان له ذِبح يذبحه فإذا أهلَّ هلالُ ذي الحجة فلا يأخذ من شعره وأظفاره شيئاً حتى يضحي )) “ผู้ใดที่มีสัตว์ (ที่เตรียมไว้) สำหรับเชือดอุฎหิยะฮฺ ดังนั้นเมื่อเข้าเดือนซุลหิจญะฮฺ เขาก็จงอย่าตัดเอาส่วนใดส่วนหนึ่งจากผมของเขา และเล็บของเขาจนกว่าเขาจะเชือดอุฎหิยะฮฺเสร็จ” (มุสลิม, 4/120) เวลาสำหรับเชือดอุฏหิยะฮฺ การเชือดอุฏหิยะฮฺจะเริ่มตั้งแต่เวลาหลังจากเสร็จละหมาดอีด และสิ้นสุดลงหลังจากดวงอาทิตย์ตกในเย็นวันที่สิบสามของเดือนซุลหิจญะฮฺเท่านั้น. อนัสเล่าว่า ท่านรสูล ศ้อลลัลลอฮุอะลัยอิวะสัลลัมกล่าวว่า ((من ذبح قبل الصلاة فإنما يذبح لنفسه، ومن ذبح بعد الصلاة فقد تم نسكه وأصاب سنة المسلمين)) “ผู้ใดที่ทำการเชือดก่อนละหมาดแท้จริงมันเป็นการเชือดสำหรับตัวเขาเอง และผู้ใดที่ทำการเชือดหลังละหมาดแท้จริงเขาได้ทำให้อิบาดะฮฺของเขาสมบูรณ์และถูกต้องตามสุนนะฮฺของชนมุสลิมทั้งหลาย” (บันทึกโดย บุคอรีย์ 1:243,) ญุนดุบ บิน สุฟยานเล่าว่า ฉันได้ร่วมละมหาดอีดอัฎหากับท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และท่านได้กล่าวว่า (( من كان ذبح أضحيته قبل أن يصلي أو نصلي فليذبح مكانها أخرى ومن كان لم يذبح فليذبح باسم الله )) “ผู้ใดได้เชือดสัตว์อุฎหิยะฮฺของเขาก่อนที่เขาจะละหมาดหรือก่อนที่ฉันจะละหมาด ดังนั้นเขาจงเชือดตัวอื่นแทนตัวนั้น และผู้ใดที่ยังไม่ได้เชือด ดังนั้นเขาจงเชือดด้วยพระนามของอัลลอฮฺ” (มุสลิม 6:74) ญุเบร บิน มุฏอิมเล่าว่า ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า ( كل فجاج مكة منحر، وكل أيام التشريق ذبح ) “ทุกๆช่องทางของมักกะฮฺคือสถานที่สำหรับเชือดสัตว์ และทุกๆวันตัชรีก (วันที่ 11-13) คือวันแห่งการเชือด” (บันทึกโดย อะหมัด 4:8 บัยฮะกีย์ 5:295) อิหม่ามอัชชาฟิอีย์กล่าวว่า “เมื่อตะวันลับฟ้าในวันสุดท้ายของวันตัชรีก หลังจากนั้นหากผู้ใดเชือดอุฎหิยะฮฺ ดังนั้นการเชือดอุฎหิยะฮฺนั้นถือว่าเป็นโมฆะ” (อัลอมม์, 2/222) เงื่อนไขของสัตว์อุฎหิยะฮฺ 1. อูฐ ที่มีอายุครบห้าปีบริบูรณ์และย่างเข้าปีที่หก 2. วัว และแพะ ที่มีอายุครบสองปีบริบูรณ์ และย่างเข้าปีที่สาม 3. แกะ ที่มีอายุครบหนึ่งปีบริบูรณ์และย่างเข้าปีที่สอง หรือหลังจากที่มีการเปลี่ยนฟันใหม่ ถึงแม้ว่าอายุยังไม่ครบหนึ่งปีบริบูรณืก็ตาม (ดู มัจมูอฺ 8:293) และต้องไม่เป็นสัตว์เลี้ยงที่มีอวัยวะทุกส่วนครบสมบูรณ์และไม่มีตำหนิที่ชัดเจน จนกระทบต่อเนื้อของสัตว์ หรือดูแล้วน่ารังเกียจ อัลบัรรออฺ บิร อาซิบเล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ( أربعٌ لا تجوز في الأضاحي : العوراء البين عورها والمريضة البين مرضها والعرجاء البين عرجها والكسير التي لا تنقي) “มีสัตว์สี่ประเภทที่ไม่อนุญาตสำหรับการอุฎหิยะฮฺ นั่นคือ สัตว์ที่ตาบอดข้างที่เห็นชัด สัตว์ที่ป่วยอย่างเห็นได้ชัด สัตว์ที่ขาพิการอย่างเห็นได้ชัด และสัตว์ที่ผอมแห้งจนไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้” (อบูดาวูด 7/357-358 – เอานุลมะอฺบูด, อัตติรมิซีย์ 5/67 – ตุหฺฟะฮฺ) วิธีการเชือด 1. ต้องครอบครองสัตว์สำหรับเชือด (หนึ่งตัวหรือหนึ่งส่วน) 2. นิยัตหรือตั้งเจตนาเพื่อทำการเชือดอุฏหิยะฮฺ 3. เชือดด้วยตัวเองหรือให้ผู้อื่นเชือดแทน 4.ปฏิบัติตามระเบียบการเชือด คือ 4.1 ลับมีดให้คมกริบ 4.2 กล่าวบิสมิลลาฮฺและตักบีร (บิสมิลลาฮฺ อัลลอฮุ อักบัร) 4.3 กล่าวเศาะละวาตนบี (ตามทัศนะของอิหม่ามอัชชาฟิอีย์) 4.4 กล่าวดุอาอฺ بِاسْمِ اللهِ، اَللَّهُمَّ تَقَبَّلْ مِنْ مُحَمَّدٍ ، وَآلِ مُحَمَّدٍ، وَمِنْ أُمَّةِ مُحَمَّدٍ “บิสมิลลาฮฺ อัลลอฮุมมะ ตะก็อบบัล มินมุหัมมัด มอาลิมุหัมมัด วะมินอุมะติมุหัมมัด” (มุสลิม 4/106 - ชัรหฺอันนะวะวีย์) ด้วยพระนามของอัลลฮฺ โอ้พระผู้อภิบาลของข้า ได้โปรดรับ (การภักดี) จาก มุหัมมัด และครอบครัวของมุหัมมัด และประชาชาติของมุหัมมัด) 4.5 หันไปทางกิบลัตทั้งสัตว์เชือดและผู้เชือด 4.6 ทำให้สัตว์เชือดนอนตะแคงซ้าย. 4.7 ทำการเชือดที่สนามละหมาดหรือมุศ็อลลา (อัลมุจญ์มูอฺ 8/408, อัลบะดาอิอฺ 4/221, อัลมุฆนีย์ 9/456-457, กัชชาฟุลเกาะนาอฺ 3/8) 4.8 การใช้ประโยชน์จากเนื้ออุฏหิยะฮฺ 1. การใช้ประโยชน์จากเนื้ออุฎหิยะฮฺที่เป็นสุนัต ส่งเสริมให้ผู้ทำการเชือดแบ่งเนื้อออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับครอบครัว ส่วนหนึ่งสำหรับบริจาคแก่บรรดาคนจนและผู้ขัดสน และอนุญาตให้บริจาคแก่บรรดามุสลิมที่ร่ำรวย และอนุญาตให้เก็บตุนไว้ อัลลอฮฺทรงตรัสว่า فَكُلُوا مِنْهَا وَأَطْعِمُوا الْقَانِعَ وَالْمُعْتَرَّ (الحج : 36) “ดังนั้น พวกเจ้าก็จงบริโภคส่วนหนึ่งของมัน และจงให้ทานอาหารแก่คนที่ไม่เอ่ยขอ และคนที่เอ่ยขอ” فَكُلُوا مِنْهَا وَأَطْعِمُوا الْبَائِسَ الْفَقِيْرَ (الحج : 28) “ดังนั้น พวกเจ้าก็จงบริโภคส่วนหนึ่งของมัน และจงให้ทานอาหารแก่ผู้ที่ยากจนขัดสน” 2. การใช้ประโยชน์จากเนื้ออุฎหิยะฮฺที่เป็นวาญิบ (นะซัร) มัซฮับหะนะฟีย์และชาฟิอีย์และทัศนะหนึ่งของมัซฮับหันบะลีย์ ถือว่าไม่อนุญาตให้เจ้าของผู้บนบานหรือนะซัรรับประทานจากเนื้ออุฎหิยะฮฺที่ทำการบนบานดังกล่าว เพราะการนะซัรเป็นสิ่งที่วาญิบและจำเป็นต้องบริจาคเป็นทานให้หมดแก่ผู้ยากจน และถ้านำมารับประทานแม้เพียงนิดเดียวก็จำเป็นต้องถูกปรับด้วยการหาเนื้ออื่นมาแทนที่ (อัลมัจญ์มูอฺ 8/417, มุฆนีอัลมุหฺตาจญ์ 6/134, ตับยีนอัลหะกออิก 6/8, อัลมุฆนีย์ 9/475) วัลลอฮุอะอฺลัม 3. ให้ชาวซิมมีย์รับประทานเนื้ออุฎหิยะฮฺ อิหม่ามอันนะวะวีย์อ้างคำพูดของอิบนุลมุนซิรว่า “บรรดาอุละมาอฺมีทัศนะที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการให้รับประทานอาหารแก่บรรดาผู้ขัดสนในหมู่ซิมมีย์ โดยที่อัลหะสัน อัลบัศรีย์ อบูหะนีฟะฮฺ และอบู เษาร์ ระบุว่าอนุญาต ส่วนอิหม่ามมาลิกกล่าวว่า “ให้ทานแก่คนอื่นจากพวกเขาเป็นที่น่าพอใจแก่เรากว่า” และท่านยังไม่ชอบที่จะมอบหนังสัตว์อุฎหิยะฮฺแก่ชาวนัศรอนีย์ หรือเนื้ออุฎหิยะฮฺ” เช่นเดียวกับอัลลัยษ์ที่ไม่ชอบที่จะทำเช่นนั้น และท่านกล่าวว่า “ถ้าได้ต้มเนื้อสุกแล้ว ก็ไม่เป็นไรที่จะเรียกซิมมีย์มาทานร่วมกับชาวมุสลิม” หลังจากนั้น อิหม่ามอันนะวะวียืกล่าวว่า “ตามมัซฮับอัชชาฟิอีย์ อนุญาตให้พวกเขารับประทานจากเนื้ออุฎหิยะฮฺที่เป็นสุนัต แต่ไม่อนุญาตให้รับประทานจากเนื้ออุฎหิยะฮฺที่เป็นวาญิบ” (อัลมัจญ์มูอฺ 8/425) อิบนุกุดามะฮฺกล่าวว่า “อนุญาตให้ชาวกาฟิรผู้ปฎิเสธศรัทธารับประทานอาหารจากเนื้ออุฎหิยะฮฺ นี่เป็นทัศนะของอัลหะสัน และอบูเษาร...เพราะมันคืออาหารที่เขามีสิทธิที่จะทาน ดังนั้นจึงอนุญาตให้ชาวซิมมีย์รับประทานเช่นเดียวกับอาหารทั่วๆไป และเนื่องจากว่ามันเป็นการให้ทานที่สุนัต ดังนั้นจึงอนุญาตให้ซิมมีย์ และเชลยรับประทานได้ เช่นเดียวกับการให้ทานสุนัตอื่นๆ” (อัลมุฆนีย์ 9/450) 4. ค่าจ้างสำหรับผู้ชำแหละเนื้ออุฎหิยะฮฺ อุละมาอฺส่วนใหญ่ระบุว่าไม่อนุญาตให้นำเนื้ออุฎหิยะฮฺเป็นค่าจ้างแก่ผู้เชือดและผู้ชำแหละเนื้ออุฎหิยะฮฺ เพราะมีรายงานจากอาลี บิน อบีฎอลิบ เล่าว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้สั่งให้ฉันจัดการเกี่ยวกับอูฐอุฎหิยะฮฺของท่าน และสั่งให้ฉันนำเนื้อ และหนังของมันบริจาคทาน และห้ามไม่ให้ฉันนำ (เนื้อและชิ้นส่วนใดๆของมัน) มอบ (เป็นค่าตอบแทน) แก่ช่างชำแหละเนื้อแม้แต่น้อย” (อัลบุคอรีย์ 4/303, มุสลิม 3/435) ส่วนกรณีที่ช่างชำแหละเนื้อเป้นคนจนหรือมิตรสหาย ก็อนุญาตให้มอบเนื้ออุฎหิยะฮฺแก่พวกเขาได้ในฐานะของคนจน หรือเป็นการฮะดิยะฮฺ ไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าตอบแทนหรือค่าจ้าง เจ้าของอุฎหิยะฮฺจำเป้นต้องหาทรัพท์สินส่วนอื่นให้แทน (อัลมุฆนีย์ 9/450, ชัรหุสสุนนะฮฺ 7/188) 5. การขายเนื้ออุฎหิยะฮฺและนำหนังของมันมาใช้ประโยชน์ ทัศนะของมัซฮับมาลิกีย์ ชาฟิอีย์ และหันบะลีย์ ระบุว่า ไม่อนุญาตให้นำเนื้อ หรือหนังของสัตว์อุฏหิยะฮฺ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของมันไปขาย ไม่ว่าจะเป็นอุฎหิยะฮฺวาญิบหรืออุฎหิยะฮฺสุนัตก็ตาม (อัซซะคีเราะฮฺ 4/156, อัลมัจญ์มูอฺ 8/419-420, อัลมุฆนีย์ 9/450) นบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า ( من باع جلد أضحيته فلا أضحية له ) “ผู้ใดขายหนังสัตว์อุฎหิยะฮฺของเขา ดังนั้นเขาจะไม่ได้ผลบุญจากการอุฎหิยะฮฺนั้น” (สุนันอัลบัยฮะกีย์ 9/294, เศาะหีหฺอัลญามิอฺอัสเศาะฆีร 2/1055) 1. ความหมายของอุฏหิยะฮฺ อุฎหิยะฮฺด้านภาษา หมายถึงสัตว์ที่ถูกเชือดในเวลาฎุหา (เวลาเช้าหลังจากที่ตะวันทอแสงแล้ว) หรือสัตว์ที่ถูกเชือดในวันอีดอัฎหา 2. บัญญัติว่าด้วยอุฎหิยะฮฺ อุฎหิยะฮฺมีบัญญัติทั้งในอัลกุรอาน สุนนะฮฺ และอิจญ์มาอฺ (มติเอกฉันท์ของอุละมาอฺอิสลาม) อัลลอฮฺทรงตรัสว่า ((فَصَلِّ لِرَبِّكَ وَانْحَرْ)) [الكوثر:2] “ดังนั้นเจ้าจงละหมาดเพื่อพระเจ้าของเจ้า และจงเชือดสัตว์อุฎหิยะฮฺ” (อัลเกาษัร, 2) ((قُلْ إِنَّ صَلاَتِي وَنُسُكِي وَمَحْيَايَ وَمَمَاتِي لِلّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ، لاَ شَرِيكَ لَهُ وَبِذَلِكَ أُمِرْتُ وَأَنَاْ أَوَّلُ الْمُسْلِمِينَ)) [الأنعام : 162-163] “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮ์ (หัจญ์หรือการเชือด) ของฉัน การมีชีวิตของฉัน และการตายของฉัน ล้วนเพื่ออัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกเท่านั้น ไม่มีการตั้งภาคีใดๆ แก่พระองค์ และด้วยการปฏิบัติดังกล่าวข้าพระองค์ถูกสั่งใช้ให้ปฏิบัติ และข้าพระองค์คือคนแรกในหมู่ผู้สวามิภักดิ์” (อัลอันอาม 162-163) ((وَلِكُلِّ أُمَّةٍ جَعَلْنَا مَنْسَكًا لِّيَذْكُرُواْ اسْمَ اللهِ عَلَى مَا رَزَقَهُمْ مِّن بَهِيمَةِ الاَْنْعَـمِ)) [الحج:34] “และสำหรับทุกๆประชาชาติเราได้กำหนดสถานที่และเวลาสำหรับประกอบพิธีกรรม (หัจญ์และเชือดสัตว์อุฎหิยะฮฺ) เพื่อพวกเขาจะได้กล่าวพระนามของอัลลอฮฺ ต่อสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาจากปศุสัตว์ (อูฐ วัว แพะ แกะ)” (อัลหัจญ์, 34) อายะฮฺเหล่านี้บ่งบอกว่าการเชือดเพื่อความใกล้ชิดกับอัลลอฮฺเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ในทุกศาสนาและสำหรับทุกประชาชาติ และเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่บ่งชี้ว่าการเชือดเป็นอิบาดะฮฺและผลประโยชน์อย่างหนึ่งในทุกสมัย ทุกสถานที่ และทุกประชาชาติ ส่วนสุนนะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมก็มีบัญญัติการเชือดอุฎหิยะฮฺทั้งจากคำพูดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม การปฏิบัติของท่าน และการยอมรับ ดังนั้นบัญญัติการอุฎหิยะฮฺในสุนนะฮฺจึงครอบคลุมสุนนะฮฺทั้งสามประเภท นั่นคือ คำพูด การปฏิบัติ และการยอมรับ อัลบัรรออฺ บิน อาซิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่าท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า (( من ذبح بعد الصلاة فقد تم نسكه، وأصاب سنة المسلمين)) “ผู้ใดเชือดหลังจากเสร็จพิธีละหมาดอีด ถือว่าการเชือดอุฎหิยะฮฺของเขาสมบูรณ์แล้ว และถูกต้องตามธรรมเนียมการปฏิบัติของมุสลิม”[2] อุกบะฮฺ บิน อามิร เล่าว่า “ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้แบ่งสัตว์สำหรับอุฎหิยะฮฺในหมู่เศาะหาบะฮฺของท่าน และส่วนของอุกบะฮฺได้รับญิซอะฮฺ (ชื่อเรียกลูกสัตว์ที่ฟันยังงอกไม่เต็มและยังไม่ร่วง ถ้าเป็นลูกแพะก็จะมีอายุระหว่าง 6-9 เดือน)[3] ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “โอ้ท่านรสูลุลลอฮฺ ฉันได้ส่วนแบ่งที่เป็นญิซอะฮฺ?” ท่านจึงตอบว่า “จงใช้มันเชือดอุฎหิยะฮฺ”[4] อะนัส บิน มาลิก เล่าว่า “ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้เชือดอุฎหิยะฮฺด้วยแกะสีเทาสองตัว ท่านเชือดด้วยมือของท่านเอง ท่านกล่าวพระนามของอัลลอฮฺ (บิสมิลลาฮฺ) และตักบีร (อัลลอฮุอักบัร) และท่านวางเท้าของท่านลงบนสีข้างของมันทั้งสอง”[5] ญุนดุบ บิน สุฟยาน อัลบะญะลีย์ เล่าว่า “ฉันได้ร่วมละหมาดอัฎหาพร้อมกับท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หลังเสร็จละหมาดกับประชาชนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านได้มองไปยังแพะที่ถูกเชือด (ทิ้งไว้) ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า ((مَنْ ذَبَحَ قَبْلَ الصَّلاَةِ فَلْيَذْبَحْ شَاةً مَكَانَهَا، وَمَنْ لَمْ يَكُنْ ذَبَحَ فَلْيَذْبَحْ عَلَى اسْمِ اللهِ)) “ผู้ใดได้เชือดก่อนละหมาด (อีดจะเสร็จสิ้น) เขาจงเชือดแพะตัวอื่นแทน และผู้ใดยังไม่ได้เชือดก็จงเชือดบนพระนามของอัลลอฮฺ”[6] ส่วนอิจญ์มาอฺหรือมติเอกฉันท์ของอุละมาอฺเกี่ยวกับบัญญัติการอุฎหิยะฮฺ ก็มีอุละมาอฺหลายท่านที่กล่าวดังกล่าว มีกล่าวในหนังสือ (อัลมุฆนีย์) ว่า “ชาวมุสลิมต่างมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการอุฎหิยะฮฺเป็นบัญญัติศาสนาอย่างหนึ่ง”[7] อิบนุ อัลมุลักกิน กล่าวว่า “ไม่มีการขัดแย้งใดๆว่าการเชือดอุฎหิยะฮฺเป็นหนึ่งในอิบาดะฮฺของศาสนา”[8] อัชเชากานีย์กล่าวว่า “หะดีษต่างๆในบทที่เกี่ยวกับการเชือดอุฎหิยะฮฺบ่งบอกถึงบัญญัติการเชือดอุฎหิยะฮฺ และไม่มีการขัดแย้งใดๆในเรื่องนี้ และการเชือดอุฎหิยะฮฺเป็นอิบาดะฮฺที่อัลลอฮฺทรงชื่นชอบที่สุดที่ถูกปฏิบัติในวันแห่งการเชือด”[9] 3. ความประเสริฐของการส่งเสริม ถึงแม้ว่าจะไม่พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่ระบุถึงความประเสริฐของมันเลย[10] แต่อุฎหิยะฮฺก็เป็นอิบาดะฮฺที่สำคัญยิ่งและเป็นสัญญาณแห่งความยิ่งใหญ่ของอิสลามอย่างหนึ่ง ที่ส่งเสริมให้ชาวมุสลิมทุกคนยึดปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็เป็นการปฏิบัติตามสุนนะฮฺของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมซึ่งท่านไม่เคยละทิ้งการเชือดอุฎหิยะฮฺเลยตลอดสิบปีที่ท่านพำนักอยู่ ณ มหานครมะดีนะฮฺ อาอิชะฮฺ ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า ((مَا عَمِلَ آَدمِيٌّ مِنْ عَمَلٍ يَوْمَ النَّحْرِ أَحَبَّ إِلَى اللهِ مِنْ إِهْرَاقِ الدَّمِ، إِنَّهَا لَتَأْتِيْ يَوْمَ الْقِيَامَةِ بِقُرُوْنِهَا وَأَشْعَارِهَا وَأَظْلاَفِهَا ، وَإِنَّ الدَّمَ لَيَقَعُ مِنَ اللهِ بِمَكَانٍ قَبْلَ أَنْ يَقَعَ مِنَ الأَرْضِ فَطِيْبُوْا بِهَا نَفْسًا (( “ไม่มีอิบาดะฮฺอันใดที่ผู้เป็นบ่าวปฏิบัติในวันอีดอัฎฮาจะเป็นที่โปรดปรานและชื่นชอบของอัลลอฮฺเป็นพิเศษมากไปกว่าการหลั่งเลือดด้วยการเชือดสัตว์อุฎหิยะฮฺ และแท้จริงสัตว์อุฎหิยะฮฺดังกล่าวจะปรากฏในวันกิยามะฮฺพร้อมกับเขา (ที่สวยงาม), ปุยขน (ที่นุ่มและดกฟู) และกีบเท้า(ที่แข็งแกร่ง), และหยดเลือดของสัตว์กุรบานทุกๆหยดจะหยดลงบนพื้นที่ของอัลลอฮ์ ก่อนที่จะหยดลงถึงพื้นดิน ดังนั้นพวกท่านจงเต็มใจเชือดุฎหิยะฮฺเถิด”[11] อบู ฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า ((مَنْ وَجَدَ سَعَةً فَلَمْ يُضَحِّ فَلاَ يَقْرِبَنَّ مُصَلاَّنَا)) “ผู้ใดมีความกว้างขวางและมั่งคั่ง แต่ไม่ยอมเชือดอุฎหิยะฮฺ ดังนั้นเขาจงอย่าเข้าใกล้สนามละหมาดของเราเป็นอันขาด”[12] 4. หุกมการเชือดอุฎหิยะฮฺ อุละมาอฺมีทัศนะที่แตกต่างกันเกี่ยวกับหุกมของการเชือดอุฎหิยะฮฺ แต่อุละมาอฮฺส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นสุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺสำหรับผู้ที่มีความสามารถไม่ใช่วาญิบ ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีความสามารถจึงส่งเสริมให้เชือดอุฎหิยะฮฺทุกปี เพื่อออกจากพิสัยของการคิลาฟ นั่นคือทัศนะของอุละมาอฺที่ว่าวาญิบสำหรับผู้ที่มีความสามารถ[13] อิมามอัชชาฟิอีย์กล่าวว่า “การเชือดอุฎหิยะฮฺเป็นสุนนะฮฺที่ฉันไม่ชอบละทิ้งมัน”[14] อิบนุ อับดิลบัรร์ กล่าวว่า “สรุปจากมัซฮับอิมามมาลิก การเชือดอุฎหิยะฮฺเป็นสุนนะฮฺหนึ่งที่ถูกสั่งกำชับให้ชาวมุสลิมยึดปฏิบัติ และส่งเสริมให้กระทำ และไม่อนุญาตให้ละทิ้งมัน นอกจากผู้ที่กำลังทำหัจญ์อยู่ ณ ทุ่งมีนาเท่านั้น...”[15] ท่านยังกล่าวอีกว่า “ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้เชือดอุฎหิยะฮฺตลอดชีวิตของท่าน และไม่มีรายงานจากท่านว่าท่านละทิ้งการเชือดอุฎหิยะฮฺเลย ทั้งยังส่งเสริมให้ (ประชาชาชาติของท่าน) เชือดอุฎหิยะฮฺอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่เป็นการควรสำหรับมุสลิมที่มีความสะดวกด้านทรัพย์สินที่จะละทิ้งการเชือดอุฎหิยะฮฺ”[16] อัลลอฮฺทรงตรัสว่า ((لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ لِمَنْ كَانَ يَرْجُو اللَّهَ وَالْيَوْمَ الْآخِرَ وَذَكَرَ اللَّهَ كَثِيرًا)) (الأحزاب:21) “แน่แท้ ในตัวของท่านรสูลุลลอฮฺนั้นมีแบบอย่างอันดีงามสำหรับพวกเจ้า สำหรับผู้ที่หวัง (ในความโปรดปรานของ) อัลลอฮฺและวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก” (อัลอะหฺซาบ, 21) 5. ทำไมจึงส่งเสริมให้เชือดอุฎหิยะฮฺ 1. เพื่อสร้างความใกล้ชิดต่อเอกองค์อัลลอฮฺ 2. เพื่อเป็นการฟื้นฟูแบบฉบับของท่านนบีอิบรอฮีม 3. เพื่อเป็นการปฏิบัติตามสุนนะฮฺของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลยอิวะสัลลัม 4. เพื่อแสดงออกถึงความใจกว้าง เอื้ออาทรต่อบุคคลในครอบครัว เพื่อนบ้าน และบรรดาผู้ขัดสนในวันอีด 5. เพื่อนำความสุขสำราญและมิตรภาพที่ดีสู่สังคม โดยเฉพาะคนยากจนและอนาถา 6. เพื่อแสดงถึงการขอบคุณต่อความโปรดปรานและริซกี อันเปี่ยมล้นของอัลลอฮฺ 7. เพื่อเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการภักดีและยอมสิโรราบต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ 6. ระหว่างการเชือดอุฎหิยะฮฺกับการบริจาคทานด้วยราคาอุฎหิยะฮฺ อย่างไหนประเสริฐกว่ากัน ? อุละมาอฺส่วนใหญ่เห็นว่าการเชือดอุฎหิยะฮฺประเสริฐกว่าการให้บริจาคทานด้วยราคาอุฎหิยะฮฺหรือมากกว่านั้น เพราะการเชือดอุฎหิยะฮฺเป็นหนึ่งในสัญญาณของศาสนา และเป็นสุนนะฮฺที่ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมยึดปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสั่งกำชับและส่งเสริมอย่างหนักให้ประชาชาติของท่านที่มีความสามารถยึดปฏิบัติ และที่สำคัญการให้ความสำคัญกับการบริจาคทานมากกว่าการเชือดอุฎหิยะฮิจะก่อให้เกิดการละเลยและละทิ้งสุนนะฮฺการเชือดอุฎหิยะฮฺในที่สุด หลักฐานหนึ่งที่แสดงถึงความประเสริฐของการเชือดอุฎหิยะฮฺมากกว่าการบริจาคทานด้วยราคาของมันคือ มีอยู่ปีหนึ่งในสมัยของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ประชาชานตกอยู่ในความหิวโหยอยู่ซึ่งช่วงนั้นตรงกับเทศกาลแห่งการเชือดอุฎหิยะฮฺพอดี แต่ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมก็ไม่ได้สั่งให้บรรดาเศาะหาบะฮฺให้บริจาคเงินแก่บรรดาผู้ที่ตกยาก แต่ท่านกลับเห็นด้วยกับการเชือดสัตว์อุฎหิยะฮฺของพวกเขา และได้สั่งให้พวกเขาทำการแจกจ่ายเนื้ออุฎหิยะฮฺเหล่านั้นแก่ผู้ที่ขัดสน สะละมะฮฺ บิน อัลอักวะอฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า (( مَنْ ضَحَّى مِنْكُمْ فَلاَ يُصْبِحَنَّ بَعْدَ ثَالِثَةٍ فِي بَيْتِهِ شَيْءٌ ))“ผู้ใดที่เชือดอุฎหิยะฮฺในหมู่พวกเจ้า ดังนั้นหลังจากสามวันให้หลังแล้วจะต้อง (แจกจ่ายเนื้ออุฎหิยะฮฺให้หมดและ) อย่าให้มีเหลืออยู่ที่บ้านแม้แต่นิดเดียว” ในปีต่อมา บรรดาเศาะหาบะฮฺจึงถามว่า “โอ้ท่านรสูลุลลอฮฺ พวกเราได้ปฏิบัติ (เชือดอุฎหิยะฮฺ) เหมือนกับที่เราได้ปฏิบัติมาแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา?” ท่านตอบว่า ((كُلُوْا وُأُطْعِمُوْا وَادَّخِرُوْا، فَإِنَّ ذَلِكَ الْعَامَ كَانَ فِي النَّاسِ جَهْدٌ فَأَرَدْتُ أَنْ تُعِيْنُوْا فِيْهَا)) “พวกเจ้าจงทาน จงจัดอาหารให้ผู้อื่นทาน และจงเก็บตุนไว้ เพราะแท้จริงเมื่อปีที่ผ่านมานั้นประชาชนอยู่ในสภาพที่แร้นแค้น ดังนั้นฉันจึงอยากให้พวกเจ้าช่วยเหลือพวกเขาด้วยเนื้ออุฎหิยะฮฺนั้น”[17] มีคนถามอาอิชะฮฺว่า “ท่านรสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ห้ามไม่ให้ทานเนื้ออุฎหิยะฮฺเกินสามวันจริงหรือ?” อาอิชะฮฺตอบว่า “ท่านรสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลออุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้ทำเช่นนั้นนอกจากในปีที่ (แห้งแล้งและ) ประชาชนหิวโหยเท่านั้น ดังนั้นท่านจึงอยากให้ผู้ที่ร่ำรวยให้ทานอาหารแก่ผู้ที่ยากจน”[18] อิบนุ อับดิลบัรร์ กล่าวว่า “ตามทัศนะของเรา (มัซฮับมาลิกีย์ ถือว่า) การเชือดอุฎหิยะฮฺประเสริฐกว่าการบริจาคทาน เพราะการเชือดอุฎหิยะฮฺเป็นสุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺ (สุนนะฮฺที่เน้นหนักให้ปฏิบัติ) เช่นเดียวกับละหมาดอีด และเป็นที่ทราบดีว่าละหมาดอีดนั้นประเสริฐกว่าละหมาดสุนัตอื่นๆทั้งหลาย”[19] อันนะวะวีย์กล่าวว่า “มัซฮับของเรา (ชาฟิอีย์) ถือว่าการเชือดอุฎหิยะฮฺประเสริฐกว่าการบริจาคทานสุนัต เนื่องเพราะหะดีษเศาะหีหฺมากมายที่บ่งบอกถึงความประเสริฐของการเชือดอุฎหิยะฮฺ แลเนื่องเพราะการเชือดอุฎหิยะฮฺเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการวาญิบของมันหไม่เหมือนกับการบริจาคทานสุนัต (ที่ไม่ความขัดแย้งในหมู่อุละมาอฺเกี่ยวกับมัน) และเนื่องจากว่าการเชือดอุฎหิยะฮฺเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นและชัดเจน”[20] อิบนุกุดามะฮฺกล่าวว่า “การเชือดอุฎหิยะฮฺประเสริฐกว่าการบริจาคทานด้วยราคาของมัน” ท่านยังกล่าวอีกว่า “เพราะการให้ความสำคัญกับการบริจาคทานมากกว่าการเชือดอุฎหิยะฮฺจะนำไปสู่การละทิ้งสุนนะฮฺที่ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่างไว้ และเนื่องเพราะท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้เชือดอุฎหิยะฮฺและบรรดาเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่หลังจากท่านก็เชือดอุฎหิยะฮฺเช่นกัน ดังนั้น ถ้าพวกเขาทราบว่าการบริจาคทานประเสริฐกว่า พวกเขาย่อมต้องเปลี่ยนจาการเชือดอุฎหิยะฮฺไปบริจาคทานแทนอย่างแน่นอน”[21] วัลลอฮุอะอฺลัม