22 January 2010

"หมอประเวศ" ชี้คำตอบของการพัฒนาประเทศดีที่สุด เริ่มที่"ชุมชน"

หลังพบความล้มเหลวของประเทศไทยในทุกด้านเกิดจากการสร้างพระเจดีย์จากยอด ราษฏรอาวุโสแนะเปลี่ยนแนวคิดใหม่ เริ่มที่ชุมชน ให้อปท.มีบทบาทแก้ไขปัญหา ร่วมสร้างกรอบการทำงานเพื่อท้องถิ่นร่วมกัน... ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาวิชาการ เรื่อง “การขับเคลื่อนท้องถิ่นสู่การพัฒนาประเทศ” จัดโดยภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยเห็นว่า การพัฒนาท้องถิ่นคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศ ประเทศจะเข้มแข็งได้ต้องเริ่มจากการพัฒนาระบบรากหญ้า นั่นคือ ท้องถิ่น นำโดยผู้นำท้องถิ่นและคนในท้องถิ่นที่มองเห็นปัญหาได้ครอบคลุม ช่วยให้ท้องถิ่นสามารถปกครองตัวเอง สร้างนโยบายการพัฒนาและดูแลทุกข์สุขโดยคนในชุมชนเพื่อชุมชน ราษฎรอาวุโส กล่าวว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรหลากหลายที่พร้อมจะนำมาพัฒนาประเทศ ปัจจุบันยังพัฒนาไม่ตรงจุด เนื่องจากการปกครองส่วนกลางสร้างนโยบายออกมารองรับการพัฒนาในด้านต่าง ๆ แต่ระบบวัฒนธรรม ความเชื่อที่แตกต่างกันในระดับภูมิภาค ไม่สามารถทำให้นโยบายดังกล่าวนำไปใช้พัฒนาครอบคลุมทุกภาคส่วนได้ ดังนั้น สิ่งที่ควรรีบแก้ไข คือ การช่วยกันพัฒนาท้องถิ่นแบบบูรณาการ สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนมีส่วนร่วมใน การสร้างวิธีการแก้ไขและช่วยพัฒนาประเทศร่วมกัน “เราควรสร้างรากฐานให้มั่นคงก่อนที่จะพัฒนาระบบส่วนอื่น เหมือนการสร้างฐานพระเจดีย์ นั่นคือ เริ่มจากฐานที่อยู่ส่วนล่าง ที่มีอยู่มากในชุมชนท้องถิ่น ต้องมั่นคงแล้วจึงไปพัฒนาส่วนบนฐานพระเจดีย์ต่อไป ดังนั้นควรเปลี่ยนแนวคิดใหม่ จากการคิดเชิงเทคนิคมาเป็นการคิดเชิงโครงสร้าง ให้จุดสำคัญเริ่มที่ชุมชน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทแก้ไขปัญหา ผ่านตัวแทนผู้นำท้องถิ่นที่ประชาชนไว้ใจ ร่วมสร้างกรอบการทำงานเพื่อท้องถิ่น นำมาพัฒนาและสร้างให้มีการจัดการและพัฒนาชุมชนด้วยกันเองอย่างเข้มแข็ง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม การศึกษา รวมถึงเรื่องโลกร้อน ที่กำลังคุกคามกับสรรพสิ่งต่าง ๆ บนโลก” ศ.นพ. ประเวศ กล่าวถึงการสร้างการพัฒนาแบบสร้างพระเจดีย์ว่า หากฐานพระเจดีย์ของสังคม คือชุมชน ท้องถิ่นเข้มแข็งทุกๆ ด้าน เมื่อระบบฐานมั่นคงแล้วจึงนำไปบูรณาการด้านอื่นเพื่อสร้างความเข้มแข็ง ให้ปกครองตัวเองได้ ครอบคลุม 8 ด้าน คือ 1. เศรษฐกิจ 2. จิตใจ 3. สังคม การมีส่วนร่วม 4. วัฒนธรรม 5. สิ่งแวดล้อม 6. สุขภาพ 7. การศึกษา 8. การเรียนรู้ประชาธิปไตย เมื่อนำทุกอย่างมาบูรณาการและพัฒนาไปด้วยกันจะเป็นคำตอบของการพัฒนาประเทศอย่างดีที่สุด “ในประเทศไทย มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่า 7 พันแห่ง หากให้ท้องถิ่นเข้ามาช่วยจัดการสร้างชุมชนเข้มแข็ง จะสามารถช่วยให้การพัฒนาขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว ดีกว่าการรอรับนโยบายมาจากส่วนกลาง และทำตาม หลังจากนั้นก็หายไป ไม่มีการพัฒนาเพิ่มเติม สิ่งที่ถูกต้อง คือ เราควรจะปล่อยให้ท้องถิ่นสร้างพลังความเข้มแข็งได้ด้วยตนเอง เอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง เอากรมเป็นตัวสนับสนุน เกิดการอยู่ได้ด้วยตนเอง ช่วยรักษา ช่วยกันดูแล ให้ความสำคัญของชุมชน ช่วยหาสาเหตุปัญหา สิ่งที่ต้องการของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงภายในประเทศ” แม้ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะสามารถพึ่งพาตนเองได้ และทราบปัญหาที่เกิดขึ้น ราษฎรอาวุโส กล่าวว่า ส่วนกลางก็ควรเข้าไปช่วยดูแลในเรื่องของการเพิ่มพูนความรู้ในการสร้างแนว ความคิดใหม่ๆให้เกิดขึ้นในชุมชน โดยให้ส่วนของมหาวิทยาลัยที่มีแล้วอยู่ในส่วนท้องถิ่นเข้าไปร่วมจัดการศึกษา ร่วมมือช่วยแก้ไข และเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมมือพัฒนา เพื่อให้ท้องถิ่นเข้มแข็งและส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ ด้านพล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ กล่าวถึงการปกครองส่วนท้องถิ่นว่า เป็นรากฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ฝึกฝนในการฝึกสอนเรื่องการเมืองการปกครองให้มีส่วน ร่วมในการปกครองตนเอง ให้คนในท้องถิ่นคุ้นเคยในการใช้การเมือง และความมีศรัทธาในการเลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นองค์กรที่ปกครองโดยประชาชนและเพื่อประชาชน นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อการพัฒนาประเทศซึ่งเป็นกฎ ไกหลักในการสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่น สร้างภาวะการอยู่ดีกินดี แก่พลเมือง ในระดับประเทศต่อไป ขณะที่ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ 1 ใน สมาชิกเครือข่ายสถาบันทางปัญญา เวทีปฏิรูปประเทศไทย กล่าวว่า ประชาชนทั่วไปชอบคิด ว่าส่วนกลางจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง และรอให้ส่วนกลางช่วยเหลือ โดยที่ไม่ทำอะไร แต่ความจริงแล้วต้องเริ่มจากท้องถิ่นเอง เริ่มจากชุมชน รักชุมชน มองทุกปัญหาเป็นปัญหาของส่วนร่วม และช่วยกันพัฒนาอย่างจริงจัง เมื่อท้องถิ่น เกิดการสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง การพัฒนาประเทศก็จะนำไปสู่ทิศทางที่เข้มแข็งต่อไป สอบถามเพิ่มเติม ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย : 086-9755914

Tindakan jadikan surau sebagai sasaran dikecam

KUALA LUMPUR, 22 Jan: Ketua Pembangkang, Datuk Seri Anwar Ibrahim menyifatkan tindakan pihak-pihak tertentu yang menyerang rumah ibadat, dan yang terkini surau, sebagai tindakan pengecut dan tidak bermoral. "Saya mengecam keras serangan yang dilakukan terhadap dua buah surau di Muar awal pagi semalam," kata beliau dalam kenyataannya. Surau Silaturrahim dan Surau Kampung Parit Beting masing-masing dipercayai dibakar menggunakan minyak tanah. Setelah berakhir siri serangan terhadap beberapa gereja dan gudwara, kini surau pulau menjadi sasaran. "Pendirian Pakatan Rakyat jelas iaitu kesucian rumah ibadat, walau apapun kepercayaannya mestilah dihormati. Tindakan menyerang rumah ibadat adalah satu tindakan pengecut dan tidak bermoral," katanya. Beliau juga memberi amaran kepada mana-mana pihak agar jangan cuba mencetuskan provokasi sehingga menjejaskan keharmonian serta menimbulkan keretakan di kalangan rakyat Malaysia. Rakyat Malaysia sudah lama hidup dalam keadaan rukun dan aman, mereka sudah cukup matang serta bijak untuk meremehkan sebarang usaha jahat demi menguntungkan politik golongan tertentu. Amat dikesali apabila ada pihak yang sanggup membakar sentimen agama hanya untuk laba yang sedikit, katanya. Harakah Daily.Net

Dua surau dibakar

Written by Syah Friday, 22 January 2010 07:45 Dua surau di Muar didapati dibakar dipercayai perbuatan khianat segelintir pihak. Timbalan Ketua Polis Johor Datuk Jalaluddin Abdul Rahman memaklumkan kejadian tersebut yang berlaku di Surau Silaturahim di Jalan Ismail Omar dan Surau Parit Beting di Jalan Salleh. Bagaimanapun punca kejadian kebakaran surau tersebut masih dalam siasatan. Sementara itu, timbalan ketua polis Muar, Lee Choon Guan memaklumkan kejadian pertama dipercayai berlaku pada pukul 3 pagi manakala surau kedua mengalami kebaran 46 minit selepas itu. Read more:http://www.malaysiatoday.com/BM/

20 January 2010

Pasir : Ada yang bohong – Mahathir

Written by Syah Wednesday, 20 January 2010 09:32 Tun Dr Mahathir Mohamad mengulas kenyataan Menteri Kerja Raya, Datuk Shaziman Abu Mansor yang mendakwa 500 lori mengangkut pasir dari Johor ke Singapura setiap hari. €Beliau berkata, menurut rakannya, jumlah sebenarnya ialah 700 lori pasir dan pasir tersebut ialah pasir salika yang digunakan untuk menghasilkan mikrocip. "Singapura memerlukannya untuk membuat mikrocip. Saya tidak tahu beberapa banyak pasir yang digunakan untuk membuat mikrocip itu. Mesti banyak sekiranya mereka perlukan 700 lori pasir sehari.",kata Mahathir dalam nada sinis. Mahathir menegaskan menjual bahan mentah tidak memberikan pulangan yang banyak dan beliau mencadangkan adalah lebih baik dengan memproses bahan mentah tersebut. "Ia tidaklah begitu sukar untuk menghasilkan silika dari pasir silika. Kilang kaca melakukannya sepanjang masa. Dan kita ada kilang kaca di Malaysia. Mengapa tidak hasilkan wafer silicon dan menjualnya kepada Singapura. I rasa ada orang yang tidak bercakap benar,” tambahnya lagi. –Malaysia Today

19 January 2010

วันสิ้นโลก สัญญานวันสิ้นโลก

- วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสในอัลกุรอานว่า «يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِنْدَ اللَّهِ وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ السَّاعَةَ تَكُونُ قَرِيبًا» ความว่า “มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด(มุหัมหมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้น อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้นี่เอง” (อัล-อะหฺซาบ : 63) - สัญญาณวันกิยามะฮฺ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แจงถึงเครื่องหมายและสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สัญญาณย่อย และสัญญาณใหญ่ - หนึ่ง สัญญาณย่อยของวันกิยามะฮฺ แบ่งออกเป็นสามประเภท 1. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด เช่น การบังเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์ การพิชิตบัยตุลมักดิส(เมืองเยรูซาเล็ม) และมีลูกไฟออกจากแผ่นดินหิญาซ จากเอาฟ์ บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า «اعْدُدْ سِتًّا بَيْنَ يَدَيِ السَّاعَةِ : مَوْتِي ، ثُمَّ فَتْحُ بَيْتِ المَقْدِسِ ... » ความว่า “ท่านจงนับสัญญาณหกประการก่อนการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ คือ การสิ้นชีวิตของฉัน จากนั้น การพิชิตบัยตุลมักดิส” (อัล-บุคอรีย์ : 3176) จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า «لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَخْرُجَ نَارٌ مِنْ أَرْضِ الحِجَازِ تُضِيءُ أَعْنَاقَ الإِبِلِ بِبُصْرَى» ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าไฟจะออกมาจากแผ่นดินหิญาซ และมันจะส่องประกายของมันที่ต้นคอของอูฐที่เมืองบุศรอ” (อัล-บุคอรีย์ : 8118, มุสลิม : 2902) 2. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย(ฟิตนะฮฺ) มีการแอบอ้างเป็นนบี ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป ความโง่เขลาจะมาแทนที่ จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย เวลาจะกระชันชิด มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม จะมีนักพูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย จะมีการตั้งภาคี(ชิริก)ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ เงินทองจะมีมากมาย การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือแต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่ ความชั่วช้าจะแพร่หลาย การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย จะมีตำรางานเขียนมากมาย สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง มีพยานเท็จมากมาย มีการตายแบบฉับพลัน ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล(อนุมัติ) คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์ ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้ สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา ประเทศอิรักและชาม(ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน - ผู้แปล)จะถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าว จากอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านหันหน้าทางทิศตะวันออกพลางพูดว่า «أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ » ความว่า “แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ (ทางตะวันออก) แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ ด้านที่เขา(หัว)ของมารร้ายโผล่ออกมาทางนั้น” (อัลบุคอรี : 7093, มุสลิม : 2905 สำนวนเป็นของท่าน) 3. สัญญาณที่ยังไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกกล่าว เช่น แม่น้ำฟุรอต(แม่น้ำยูเฟรติสในอิรัก) จะแห้งภูเขาทองคำจะโผล่ออกมา กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต จะเกิดสงครามกับชาวเติร์ก จะเกิดสงครามระหว่างชาวยิวกับมุสลิม แต่มุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย จะมีชายคนหนึ่งจากเผ่าเกาะฮฺฏอน(ในประเทศยะมัน)จะไล่ต้อนผู้คนด้วยไม้เท้าของเขา(คือ ปกครองโดยใช้ความรุนแรงและเผด็จการ) ผู้หญิงจะมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึงขนาดมีอัตราส่วน ผู้ชาย 1 คน ต่อ ผู้หญิง 50 คน เมืองมะดีนะฮฺจะขับคนที่ชั่วร้ายออกไปหมดถึงขนาดว่าบางช่วงจะกลายเป็นเมืองร้าง อิหมามมะฮฺดีย์จะปรากฏตัว ท่านเป็นบุรุษที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือท่านในงานศาสนา เมื่อวันนั้นมาถึงแผ่นดินจะปกคลุมด้วยความยุติธรรม เฉกเช่นที่เคยถูกปกคลุมด้วยความอยุติธรรมมาแล้ว ท่านจะปกครองแผ่นดินนานเจ็ดปี ในช่วงนั้นประชาชนจะได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ท่านจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ ประเทศทางทิศตะวันออก และผู้คนจะให้สัตยาบัญต่อท่าน ณ บัยตลลอฮฺ กะอฺบะฮฺจะถูกทำลายโดยน้ำมือของชายผู้หนึ่งจากประเทศหะบะชะฮฺ(เอธิโอเปีย) มีฉายาว่า “ซู สุวัยเกาะตัยน์” (แปลว่าผู้ที่มีขาเรียวเล็ก ทั้งนี้เป็นคุณลักษณะของชาวเอธิโอเปีย ที่มีร่างสูงแต่มีขาเรียวเล็ก - ผู้แปล) ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดบูรณะกะอฺบะฮฺขึ้นมาอีก เมื่อนั้นแหละคือวาระสุดท้ายของโลก